วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

จันทรุปราคา

เตรียมชม “จันทรุปราคาเต็มดวง” ครั้งแรกในรอบ 4 ปี idth="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0">
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 มิถุนายน 2554 00:49 น.


ดวงจันทร์จะเปลี่ยนเป็นสีแดงอิฐเมื่อจันทรุปราคาเต็มดวง (สดร.)

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ภาพดวงจันทร์ระหว่างเกิดจันทรุปราคาตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดปรากฏการณ์ (สดร.)

ภาพปรากฏดวงจันทร์ในเงามืด (เทาเข้ม) และเงามัว (เทาอ่อน) ระหว่างเกิดจันทรุปราคา (สดร.)

ตำแหน่งดวงจันทร์บนท้องฟ้าขณะเกิดจันทรุปราคา

ภาพจำลองขณะดาวฤกษ์ 51 โอฟีอุชี ถูกดวงจันทร์บัง โดยผู้สังเกตใน จ.เชียงใหม่และกรุงเทพฯ จะเห็นปรากฏการต่างกัน (สดร.)

ตารางแสดงเวลาเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาบังดาวฤกษ์ (สดร.)

ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา

ย่ำรุ่งวันที่ 16 มิ.ย.นี้จะเป็นครั้งแรกที่คนไทยจะได้ชมปรากฏการณ์ “จันทรุปราคาเต็มดวง” ในรอบ 4 ปี และยังมาพร้อมปรากฏการณ์พิเศษอย่างการบังดาวฤกษ์ระหว่างเกิดคราสซึ่งเกิด ขึ้นได้น้อยมาก อีกทั้งปรากฏการณ์นี้ยังเกิดขึ้นขณะที่ดวงจันทร์กำลังเคลื่อนผ่านใจกลางทาง ช้างเผือกด้วย

จันทรุปราคาเต็มดวงในวันที่ 16 มิ.ย.นี้ เป็นปรากฏการณ์ที่ ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) กล่าวว่ามีความพิเศษเพราะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดคราสเต็มดวงนานเกิน 100 นาที และระหว่างเกิดคราสดวงจันทร์ยังเคลื่อนผ่านใจกลางทางช้างเผือกด้วย อีกทั้งยังเป็นปรากฏการณ์จันทรุปราคาครั้งแรกในรอบ 4 ปีที่คนไทยจะได้ชมอีกด้วย โดยปีนี้มีปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงให้ชมถึง 2 ครั้ง ซึ่งครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในวันที่ 10 ธ.ค.

เตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่คืนที่ 15 มิ.ย.
จากข้อมูลเอกสารปรากฏการณ์จันทรุปราคา (Lunar Eclipse 2011) สดร. ในวันที่ 16 มิ.ย.นี้ดวงจันทร์จะเริ่มเข้าสู่เงามัวของโลกตั้งแต่ 00.26 น. หรือหลังจากผ่านเที่ยงคืนวันที่ 15 มิ.ย. แต่ในช่วงดังกล่าวซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์จันทรุปราคานั้น เป็นช่วงที่เราสังเกตได้ยาก โดยเราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเมื่อดวงจันทร์เริ่มสัมผัสเงามืดของโลก เวลา 01.25 น.ซึ่งดวงจันทร์จะเริ่มแหว่ง

เวลา 02.25 น.เริ่มเกิดอุปราคาเต็มดวงเมื่อขอบดวงจันทร์ทั้งสองด้านผ่านเข้าไปในเงามืด ของโลก และในเวลา03.14 น.ดวงจันทร์จะเข้าไปอยู่กึ่งกลางเงามืดของโลก เรียกเหตุการณ์ดังกล่าวว่า กึ่งกลางอุปราคา (Greatest eclipse) เรายังคงเห็นจันทรุปราคาเต็มดวงไปจนถึงเวลา 04.04 น.ซึ่งดวงจันทร์เริ่มออกจากเงามืด และดวงจันทร์จะออกจากเงามืดทั้งหมดเวลา 05.04 น. และสิ้นปรากฏการณ์จันทรุปราคาเวลา 06.02 น.

5 ลำดับความสว่างจันทรุปราคาเต็มดวง
ทั้งนี้ ระหว่างเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงเราจะเห็นดวงจันทร์เปลี่ยนเป็นสีแดงอิฐ หรือบางอาจจะเรียกว่าพระจันทร์สีเลือด สำหรับสาเหตุที่จันทร์เต็มดวงไม่มืดสนิทนี้ หาคำตอบได้จากบทความ “รู้ไหมว่า? ทำไม “จันทรุปราคาเต็มดวง” จึงเป็นสีแดงอิฐ” โดย ความสว่างของจันทรุปราคาตามมาตราดังชง (Danjon Scale) ที่เสนอโดย อังเดร หลุยส์ ดังชง (Andre-Louis Danjon) นักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ใช้สัญลักษณ์ L แทน ความสว่าง (Luminosities) แบ่งได้เป็น 5 ระดับ

เมื่อ L = 0 แสดงถึงจันทรุปราคาที่มืดมากจนเกือบมองไม่เห็นดวงจันทร์ , L = 1 แสดงถึงจันทรุปราคามีความมืดในระดับที่เห็นเป็นสีเทาหรือน้ำตาลอ่อน ,L = 2 แสดงถึงจันทรุปราคาที่เป็นสีแดงเข้มหรือสีสนิมคราส , L = 3 แสดงถึงจันทรุปราคาที่เป็นสีแดงอิฐ และ L = 4 แสดงถึงจันทรุปราคาที่สว่างมาก มีทองแดงหรือสีส้ม

พิเศษ! เกิดจันทร์บังดาวฤกษ์ระหว่างจันทรุปราคา
นอกจากจันทรุปราคาครั้งนี้จะเกิดคราสนานชั่วโมงกว่าๆ แล้ว ยังเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาบังดาวฤกษ์ เนื่องจากดวงจันทร์เคลื่อนผ่านทางใต้ของกลุ่มดาวคนแบกงู (Ophiuchus) แล้วเคลื่อนไปบังดาวฤกษ์ 51 โอฟีอุชี (Ophiuchi) หรือ 51 คนแบกงู พอดี โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงใกล้ๆ อุปราคาเต็มดวง ซึ่งผู้สังเกตใน จ.ชุมพรขึ้นไปจะเห็นปรากฏการณ์นี้ได้ และตรวจสอบเวลาได้ในตารางการเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาบังดาวฤกษ์ 51 โอฟีอุชี

“ตามเวลา ณ เชียงใหม่ ดาวฤกษ์ 51 โอฟีอุชี เริ่มหายเข้าไปหลังดวงจันทร์สีแดงอิฐในเวลา 02.08 น. แล้วจะโผล่พ้นดวงจันทร์ออกมาในเวลา 02.12 น. ปรากฏการณ์ดังกล่าวนั้นจะเห็นได้ตั้งแต่ จ.เชียงใหม่ ลงไปถึง จ.ชุมพร ส่วนจังหวัดที่อยู่ใต้ลงไปจะเห็นเพียงจันทรุปราคาเฉียดดาวฤกษ์เท่านั้น” ดร.ศรัณย์ ยกตัวอย่างการเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคราบังดาวฤกษ์ที่ จ.เชียงใหม่

ทั้งนี้ ดาว 51 โอฟีอุชีนั้นอยู่ในตำแหน่ง “หัวเข่า” ของกลุ่มดาวคนแบกงู เป็นดาวฤกษ์สีขาวขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ และอยู่ห่างจากโลกประมาณ 426.35 ปีแสง สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่าแต่ไม่ชัดนัก ซึ่งรองผู้อำนวยการ สดร.ระบุว่าปรากฏการณ์บังดาวฤกษ์นั้นเกิดขึ้นเป็นปกติบนท้องฟ้า แต่น้อยครั้งที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

สดร.จัดเต็มถ่ายทอดสดปรากฏการณ์ 3 ภาค เหนือ-กลาง-ใต้
สำหรับการเกิดปรากฏการณ์จันทรปุราคาครั้งนี้ ทาง สดร.ได้ร่วมมือกับเครือข่าวดาราศาสตร์ใน จ.ฉะเชิงเทราและ จ.สงขลา จัดกิจกรรมและตั้งจุดสังเกตปรากฏการณ์ 3 แห่ง คือ 1.บริเวณดาดฟ้า ชั้น 3 สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ จ.เชียงใหม่ 2.หอดูดาวบัณฑิต จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งทางหอดูดาวยังได้ร่วมมือกับ ร.ร.เบญจมราชรังสฤษฏิ์, ร.ร.ไผ่แก้ววิทยา จ.ฉะเชิงเทรา และ ร.ร.ชลราษฎรอำรุง จ.ชลบุรี จัดกิจกรรมและตั้งกล้องโทรทรรศน์สำหรับสังเกตปรากฏการณ์ และ 3.มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา จ.สงขลา
ทั้งนี้ ติดตามการถ่ายทอดสดปรากฏการณ์จันทรุปราคาผ่านอินเทอร์เน็ตจากจุดสังเกตุทั้ง 3 แห่งได้ที่ http://118.174.34.82/lunar/

เกิดจันทรุปราคาได้อย่างไร?
องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดจันทรุปราคาคือ “เงาของโลก” ซึ่งเมื่อดวงอาทิตย์ส่องมายังโลกที่เป็นวัตถุทึบแสง จะทำให้เกิดเงาทอดไปในอวกาศ และเมื่อดวงจันทร์ผ่านเข้าไปในเงาโลกเราจึงได้เห็นปรากฏการณ์อุปราคาดัง กล่าว โดยเงาโลกมีส่วน 2 ส่วน คือ เงามืด (Umbra Shadow) ซึ่งเมื่อลากเส้นสัมผัสจากดวงอาทิตย์ผ่านโลกจะได้ลักษณะเงาทอดเป็นกรวยแหลม และเงามัว (Penumbra Shadow) ซึ่งเมื่อลากเส้นสัมผัสโดยให้เกิดจุดตัดระหว่างโลกและดวงอาทิตย์จะได้ลักษณะ เงาถ่างออก

ข้อมูลจากเอกสารจันทรุปราคาของ สดร.ระบุอีกว่า ในแต่ละปีจะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงประมาณ 1-2 ครั้ง และในปีที่ดวงจันทร์เต็มดวงถึง 13 ครั้ง ซึ่งมีบางเดือนที่เกิดจันทร์เต็มดวงถึง 2 ครั้งและเรียกปรากฏการณ์ในเดือนนั้นว่า “บลูมูน” (Blue Moon) จะเกิดจันทรุปราคาสูงสุดถึง 4 ครั้ง แต่ในปีดังกล่าวจะไม่เกิดจันทรุปราคาเต็มดวง

รู้จักจันทรุปราคาทุกรูปแบบ
จันทรุปราคาแบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ 1.จันทรุปราคาเต็มดวง (Total Lunar Eclipse) คือ ปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์เคลื่อนผ่านเข้าไปในเงามืดของโลกทั้งดวง ซึ่งดวงจันทร์จะค่อยมืดหายไปทั้งดวงแล้วเปลี่ยนเป็นสีแดงอิฐเมื่อคราสบัง เต็มดวง 2.จันทรุปราคาบางส่วน (Partial Lunar Eclipse) คือปราฏการณ์ที่ดวงจันทร์เคลื่อนผ่านเงามืดและเงามัว โดยเห็นดวงจันทร์มืดปเพียงบางส่วน เท่านั้น และ 3.จันทรุปราคาเงามัว (Penumbra Lunar Eclipse) เป็นปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์ผ่านเข้าไปในเขตเงามัวของโลกโดยไม่ผ่านเงามืด ซึ่งเรายังคงเห็นดวงจันทร์เต็มดวง เนื่องจากตาของเราไม่สามารถแยกแยะความความสว่างที่ลดลงไปเพียงเล็กน้อยได้

“อย่างไรก็ดี การชมปรากฏการณ์นี้ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ หากท้องฟ้าไม่โปร่ง มีเมฆมากก็จะไม่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งหากพลาดการชมปรากฎการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงในวันที่ 16 มิ.ย.สามารถรอชมได้อีกครั้งในวันที่ 10 ธ.ค.นี้” ดร.ศรัณย์ กล่าว

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

ฝนฟ้าคะนอง

ทุกชั่วโมงทั่วโลกเกิด “ฝนฟ้าคะนอง” ถึง 760 ครั้ง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 เมษายน 2554 22:34 น.
นักวิทยาศาสตร์คำนวณพบทุก ชั่วโมงทั่วโลก เกิด “ฝนฟ้าคะนอง” มากถึง 760 ครั้งเลยทีเดียว แต่ข้อมูลใหม่ที่เปิดเผยในที่ประชุมของนักภูมิศาสตร์นี้ยังน้อยกว่าข้อมูล ที่เชื่อถือมาเกือบศตวรรษอยู่มากทีเดียว

ข้อมูลการนับจำนวนครั้งเกิดพายุฝนฟ้าคะนองนี้ เป็นงานวิจัยใหม่ ที่อาศัยความร่วมมือของเครือข่ายสถานีตรวจสภาพอากาศทั่วโลก ที่สามารถวัดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic pulse) ที่เกิดจากฟ้าผ่าที่รุนแรง และได้เปิดเผยข้อมูลนี้ในการประชุมของสหภาพภูมิศาสตร์ยุโรป (European Geosciences Union) ในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย

จากการนับจำนวนพายุฝนฟ้าคะนองพบว่าทุกๆ ชั่วโมง ทั่วโลกเกิดฝนฟ้าคะนองถึง 760 ครั้ง แต่บีบีซีนิวส์รายงานว่าจำนวนดังกล่าว น้อยกว่าจำนวนที่เคยนับและใช้กันมาเกือบศตวรรษ และงานวิจัยนี้ยังยืนยันว่าพายุฝนฟ้าคะนองนั้น เป็นปรากฏการณ์เขตร้อนที่สำคัญ

อีกทั้งลุ่มแม่น้ำคองโก (Congo) เป็นจุดที่มีความร้อนเข้มข้น (hotspot) ของโลก และพายุฝนฟ้าคะนอง ยังช่วยในการติดตามเส้นทางแสงอาทิตย์บนโลก ที่ทำให้เกิดการพาความร้อนในอากาศ

“อาจมีสถานีตรวจวัดอากาศ ที่พลาดการตรวจจับสัญญาณฟ้าผ่าไปบ้าง แต่เราเชื่อว่าสามารถจับสัญญาณใหญ่ๆ ได้ ซึ่งมากพอที่จะบอกเราได้ว่า เกิดพายุฝนฟ้าคะนองที่ไหน ผ่านการทำงานเป็นเครือข่ายทั่วโลก” คอลิน ไพร์ซ (Colin Price) หัวหน้าภาควิชาธรณีฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์ระหว่างดวงดาว จากมหาวิทยาลัยเทล อาวีฟ (Tel Aviv University) ในอิสราเอลกล่าว

การศึกษาครั้งนี้ ทำให้นักวิจัยได้แก้ไขจำนวนการเกิดพายุฝนฟ้าคะนองที่ใช้เป็นมาตรฐานมา ตั้งแต่ช่วงปี 1920 ซึ่งคาดว่า ครั้งแรกที่มีความพยายามในการประมาณจำนวนฝนฟ้าคะนองคือในปี 1925 โดย ซีอีพี บรูคส์ (CEP Brooks) นักภูมิอากาศวิทยาอังกฤษ ซึ่งในช่วงเวลานั้น สถานีตรวจวัดสภาพอากาศจะบันทึกวันที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนองในระยะใกล้ๆ เท่าที่ทำได้

ผลการคำนวณของบรูคส์ออกมาว่า โดยเฉลี่ยแล้วทั่วโลกเกิดฝนฟ้าคะนองประมาณ 1,800 ครั้งต่อชั่วโมง หากแต่งานวิจัยของเขานั้น มีข้อมูลที่ยังไม่สมบูรณ์ และยังสรุปอย่างผิดพลาด ซึ่งข้อสรุปหนึ่งที่ผิดพลาดคือพายุฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นเท่าๆ กันบนแผ่นดินและในทะเล ทว่าอันที่จริงแล้วพายุฝนฟ้าคะนองใหญ่ๆ เกิดขึ้นบนโลก

ในช่วงทศวรรษ 1950 โอเอช กิช (OH Gish) และ จีอาร์ เวท (GR Wait) ได้โดยนำเครื่องบินขึ้นไปเหนือฝนฟ้าคะนองใหญ่ๆ 21 ครั้ง พร้อมทั้งนำอุปกรณ์ขึ้นไปตรวจวัดความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้าในอากาศ เมื่อขยายผลไปส่วนอื่นๆ ของโลก พวกเขาประเมินได้ว่า มีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นทั่วโลกปีละ 2,000-3,600 ครั้ง

ทุกวันนี้ แม้ว่าดาวเทียมจะเข้ามาบทบาทมากขึ้น แต่ไม่ได้ตรวจวัดสภาพอากาศทั้งโลก สำหรับงานวิจัยล่าสุดนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้เทคนิคที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยอาศัยข้อมูลจากสถานีตรวจวัดสภาพอากาศทั่วโลกมากกว่า 40 แห่ง เพื่อตรวจวัดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากการเกิดฟ้าผ่าครั้งใหญ่ๆ

จากการประสานงานสถานีตรวจวัดแบบสามเหลี่ยม ทำให้เครือข่ายค้นหาตำแหน่งเกิดฟ้าแลบทั่วโลก (World Wide Lightning Location Network) จะสามารถหาจุดเกิดฟ้าผ่าได้ และเมื่อจัดกลุ่มให้ปรากฏการณ์ฟ้าแลบเหล่านั้น อัลกอริทึมของคอมพิวเตอร์ที่ทีมวิจัย จะคำนวณได้ว่าเป็นปรากฏการณ์จากพายุฝนฟ้าคะนองใด

แต่ละทวีปจะเกิดฝนฟ้าคะนองสูงสุดในช่วงเวลาระหว่างวัน และในภาพรวมทั่วโลก เกิดสูงสุดในช่วงเที่ยงของเวลามาตรฐานกรีนิช (GMT) โดยฝนฟ้าคะนองจะรวมกลุ่มในศูนย์กลางทวีปของเขตร้อน และเห็นได้ชัดในลุ่มน้ำคองโก

“นั่นอาจเป็นเพราะว่าแถบนั้นแห้งแล้งกว่าลุ่มน้ำอะเมซอน และฝนฟ้าคะนองดูจะก่อตัวได้ง่าย ในภาวะเงื่อนไขที่แห้งแล้ง” ดร.ไพร์ซอธิบายแก่บีบีซีนิวส์

ตอนนี้ทางเครือข่ายกำลังหาวิธีที่จะเพิ่มจุดสังเกตใหม่ เพื่อแก้ไขผลลัพธ์ที่ได้ให้ดีขึ้น และเร็วๆ นี้ได้เริ่มต้นโครงการที่จะตรวจวัดการปะทุของภูเขาไฟ ผ่านการตรวจวัดแสงแวบของฟ้าผ่า ที่เกิดขึ้นระหว่างการพ่นเถ้าถ่านร้อนออกมา

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

ระดับความรุนแรงเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์

7 ระดับความรุนแรงเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 เมษายน 2554 16:41 น.

แผ่นดินไหววัดความเสียหาย ได้เป็น “ริกเตอร์” ในกรณีเหตุการณ์นิวเคลียร์ก็มีการวัดระดับความเสียหายไว้เช่นกัน โดยความรุนแรงสูงสุดคือระดับ 7 ซึ่งนอกจากเหตุการณ์ร้ายแรงที่ “เชอร์โนบิล” ญี่ปุ่นยังยกระดับความรุนแรงที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะให้เป็น "ระดับสูงสุด" นี้ด้วย

ระดับความรุนแรงของเหตุการณ์นิวเคลียร์นั้น วัดตามมาตราระหว่างประเทศว่าด้วยเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์ (INES: International Nuclear Event Scale) ซึ่งแบ่งออกเป็น 7 ระดับ

ข้อมูลจากเว็บไซต์ทบวงการพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (ไอเออีเอ) และสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (สทน.) แจกแจงถึงระดับความรุนแรงไว้ดังนี้ ระดับ 1-3 จัดเป็นอุบัติการณ์ (incident) และระดับ 4-7 จัดเป็นอุบัติเหตุ (accident) ส่วนระดับ 0 ลงไปไม่มีนัยที่สำคัญ (no safety significance)

มาตรวัดระดับความรุนแรงนี้ ใช้สำหรับประเมินเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์ที่ใช้ทั่วไป และเป็นเครื่องมือที่ใช้สื่อสารกับประชาชน ในเกณฑ์ที่สอดคล้องกับประเด็นความปลอดภัยของรายงานอุบัติการณ์และอุบัติเหตุ ทางนิวเคลียร์ โดยใช้กับเหตุการณ์ใดๆ ก็ตาม ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานทางด้านนิวเคลียร์ ตั้งแต่การขนส่ง การจัดเก็บ และการใช้ประโยชน์จากสารรังสีและแหล่งกำเนิดรังสี แต่มาตรวัดนี้ไม่ใช้กับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ อย่างเช่นการแผ่รังสีของก๊าซเรดอน (radon) เป็นต้น

จากการจัดระดับความรุนแรงตามมาตราดังกล่าว ทำให้เหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลระเบิด เป็นความรุนแรงที่สุดตามมาตรานี้ และล่าสุดสถานการณ์ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะ ไดอิจิ (Fukuchi Daiichi) ได้ยกขึ้นเป็นระดับ 7 เทียบเท่าอุบัติเหตุนิวเคลียร์ร้ายแรงเมื่อ 25 ปีก่อน

ส่วนเหตุการณ์ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทรีไมล์ไอส์แลนด์ (Three Mile Island) ของสหรัฐฯ ระเบิด จัดเป็นความรุนแรงระดับ 5

สำหรับผลกระทบจากเหตุการณ์นิวเคลียร์ 7 ระดับ ประเมินจากการประเมินผล 3 อย่าง ไล่จากการสูญเสียการป้องกันเชิงลึก (defence in depth degradation) ผลกระทบ ณ สถานที่ตั้งโรงงาน (on-site effect) และ ผลกระทบนอกสถานที่ตั้งโรงงาน (off-site effect)





ระดับ 1 - เหตุผิดปกติ (ของวิปริต )

ผลกระทบต่อการป้องกันเชิงลึก - มีการได้รับรังสีเกินขีดจำกัดประจำปีตามกฎหมายกำหนด, มีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับองค์ประกอบความปลอดภัย แต่ยังมีความสามารถในการป้องกันเชิงลึก และมีการสูญหายหรือเกิดการขโมยอุปกรณ์รังสี ชุดรังสีสำหรับเดินทางหรือแหล่งกำเนิดรังสีในระดับที่ไม่สูงมาก หากแต่การจัดระดับความรุนแรงนี้ก็มีความแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ ซึ่งยากที่จะวัดได้ตรงๆ ว่าเหตุผิดปกติที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ในระดับ 1 หรือต่ำกว่านั้นซึ่งไม่มีนัยสำคัญ

ระดับ 2 - อุบัติการณ์ (เหตุการณ์ )

ผลกระทบต่อการป้องกันเชิงลึก - มีความผิดพลาดในการจัดเตรียมด้านความปลอดภัยอย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่มีสืบเนื่องตามมา, พบแหล่งกำเนิดรังสีสูงที่ไม่มีเจ้าของ แต่อุปกรณ์ห่อหุ้มไม่ได้รับความเสียหาย, การห่อหุ้มสำหรับวัสดุกำเนิดรังสีสูงไม่เพียงพอ

ผลกระทบ ณ ที่ตั้งโรงงาน - ระดับการแผ่รังสีในบริเวณปฏิบัติงานมากกว่า 50 มิลลิซีเวิร์ตต่อชั่วโมง, มีการปนเปื้อนในบริเวณที่ไม่ควรจะมีการแผ่รังสี

ผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม - ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับรังสีเกิน 10 มิลลิซีเวิร์ต, ผู้ปฏิบัติงานด้านรังสีได้รับรังสีในปริมาณมากกว่าขีดกำจัดประจำปีที่กฎหมาย กำหนด

ระดับ 3 - อุบัติการณ์รุนแรง (Serious incident)

ผลกระทบต่อการป้องกันเชิงลึก - เกิดอุบัติเหตุใกล้ๆ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยไม่มีมีการเตรียมระวังเรื่องความปลอดภัย, แหล่งกำเนิดรังสีที่ผนึกไว้อย่างดีสูญหายหรือถูกขโมย, ขนส่งแหล่งกำเนิดรังสีสูงผิดพลาด โดยไม่มีกระบวนการรับมือที่ดีพอ

ผลกระทบ ณ ที่ตั้งโรงงาน - มีการปลดปล่อยรังสีในพื้นที่ดำเนินงานมากกว่า 1 ซีเวิร์ตต่อชั่วโมง, มีการปนเปื้อนสูง ในบริเวณที่ไม่ควรจะมีการแผ่รังสี แต่มีโอกาสต่ำที่คนทั่วไปจะได้รับรังสีจากบริเวณดังกล่าว

ผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม - มีระดับรังสีสูงกว่าที่ขีดจำกัดที่กฎหมายกำหนด สำหรับผู้ปฏิบัติงานด้านรังสี 10 เท่า, การแผ่รังสีส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระดับที่ไม่ทำให้ถึงตาย

ระดับ 4 - อุบัติเหตุที่มีผลกระทบในระดับท้องถิ่น (Accident with local consequences)

ผลกระทบ ณ ที่ตั้งโรงงาน - แท่งเชื้อเชื้อเพลิงหลอมละลายหรือแท่งเชื้อเพลิงได้รับความเสียหายและมีการ ปลดปล่อยสารรังสีปริมาณเล็กน้อย , มีการปลดปล่อยสารรังสีปริมาณสูงภายในพื้นที่และมีโอกาสสูงที่ประชาชนจะได้ รับสารรังสีในปริมาณสูงด้วย

ผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม - มีการปลดปล่อยสารรังสีในระดับต่ำและต้องวางแผนรับมือ ,มีการควบคุมอาหารในพื้นที่, มีคนเสียชีวิตอย่างน้อย 1 ราย

ระดับ 5 - อุบัติเหตุพร้อมผลกระทบในวงกว้าง (Accident with wider consequences)

ผลกระทบ ณ ที่ตั้งโรงงาน - เกิดความเสียหายรุนแรงที่แกนปฏิกรณ์, สารรังสีปริมาณมากถูกปล่อยออกมา และมีโอกาสสูงที่จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อประชาชน และยกระดับความรุนแรงขึ้นไปอีกหากเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงมากขึ้นหรือเกิด เพลิงไหม้

ผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม - การจำกัดการปลดปล่อยวัสดุนิวเคลียร์ จำเป็นต้องมีการรับมือที่ได้รับการวางแผนอย่างดี, มีผู้เสียชีวิตหลายรายจากการได้รับรังสี

ระดับ 6 - อุบัติเหตุรุนแรง (Serious accident)

ผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม - มีการปลดปล่อยสารรังสีออกมาจำนวนมาก และต้องบรรลุผลในการรับมือตามแผน

อุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ระดับนี้ เคยเกิดขึ้นครึ่งหนึ่งกับโรงงานแปรสภาพเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว (nuclear waste reprocessing facility) สำหรับการทหาร ในเมืองมายัค (Mayak) ของอดีตสหภาพโซเวียต เมื่อ 29 ก.ย.1957 ซึ่งเกิดปัญหาระบบทำความเย็นล้มเหลวในโรงงาน ทำให้มีวัสดุรังสีปลดปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม 70-80 ตัน แต่ผลกระทบต่อประชากรในท้องถิ่นเป็นอย่างไรนั้น ไม่ทราบทั้งหมดแน่นชัด

ระดับ 7 - อุบัติเหตุรุนแรงที่สุด (Major accident)

ผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม - มีการปลดปล่อยวัสดุรังสี ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมออกไปเป็นวงกว้าง และต้องบรรลุผลในการรับมือซึ่งมีการวางแผนและจัดเตรียมไว้

หลังเหตุการณ์ที่เชอร์โนบิลและทรีไมลไอส์แลนด์ ทำให้เกิดแนวคิดในการพัฒนามาตรวัดความรุนแรงของอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ ซึ่งมาตราระหว่างประเทศว่าด้วยเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์นี้ ได้รับการกำหนดขึ้นมาโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ ที่รวมตัวกันครั้งแรกเมื่อปี 1989 โดยเป็นความร่วมมือระหว่างไอเออีเอและสำนักงานพลังงานนิวเคลียร์หรือเอ็นอี เอ (Nuclear Energy Agency: NEA) ในสังกัดองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาหรือโออีซีดี (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD)

นับแต่นั้น ทางไอเออีเอได้ร่วมมือกับสำนักงานพลังงานนิวเคลียร์ของเอ็นอีเอ พร้อมด้วยการสนับสนุนจากกว่า 70 ประเทศในการกำหนดมาตรานี้ขึ้นมา และมีการปรับปรุงมาตรานี้หลายครั้ง โดยมีประชุมเชิงเทคนิคทุก 2 ปี สำหรับการเข้าร่วมในระบบนี้เป็นไปโดยสมัครใจ ซึ่งตัวแทนประเทศต่างๆ ที่ร่วมกำหนดมาตราวัดความรุนแรงของเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์นี้จะร่วมถกเถียง และตัดสินใจในการประยุกต์ใช้มาตรานี้.

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

บริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ

แนะสูตรเด็ด 8:8:8 ช่วยบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 เมษายน 2554 06:56 น.


สันติ จันทวรรณ นักกิจกรรมบำบัด
ในยุคที่เร่งรีบแบบ นี้ การบริหารจัดการเวลาถือเป็นสิ่งที่คนเราทุกคนควรทำ เพราะกิจวัตรประจำวันของแต่ละคนมีไม่เหมือนกันทั้งที่ทำงาน บ้าน หรือโรงเรียน บางครั้งอาจทำให้เวลาพันกันยุ่งเหยิงไปหมด เกิดความกังวล และความเครียดขึ้นได้ เนื่องจากไม่รู้จะจัดลำดับอะไรก่อนหลังดี

วันนี้ทีมงาน Life & Family มีเทคนิคการบริหารจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพจากนักกิจกรรมบำบัดมาฝากกัน

สำหรับใครที่มีงานมะรุมมะตุ้มจนไม่รู้จะแบ่งเวลาพักผ่อนอย่างไรดี สันติ จันทวรรณ นัก กิจกรรมบำบัด โรงพยาบาลมนารมย์ ให้แนวทางว่า อาจเริ่มจากการมองเรื่องการใช้เวลาในแต่ละวันก่อนซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่ แล้วว่า ใน 1 วันทุกคนมีเวลาเท่ากัน 24 ชั่วโมง แล้วใน 24 ชั่วโมง ควรทำอะไรบ้าง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วในวัยเรียนหรือวัยทำงาน การจัดเวลาที่ทำให้เข้าใจง่ายนั้น จะแบ่งจำนวน 24 ชั่วโมงของวันเป็น 3 ส่วน และได้สูตรคือ 8 : 8 : 8 ซึ่งจะมีลักษณะดังนี้

8 ชั่วโมง สำหรับ การนอนหลับ พักผ่อน

8 ชั่วโมง สำหรับ การทำงาน หรือการเรียน

8 ชั่วโมง สำหรับกิจวัตรประจำวันต่างๆ เช่น อาบน้ำ แต่งตัว รับประทานอาหาร เดินทาง เข้าสังคม ตลอดจนกิจกรรมยามว่าง

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเวลาใน 1 วัน มีโครงสร้างการดำเนินชีวิตที่ค่อนข้างชัดเจนในแต่ละวัน หากจัดเวลาให้เหมาะสมตามรูปแบบข้างต้น ซึ่งในบางกรณีสามารถปรับเปลี่ยนลักษณะชั่วโมงต่างๆ ตามสูตรแล้วแต่ลักษณะหน้าที่การงาน การดำเนินชีวิต และสภาพสังคม

นอกจากแบ่งเวลาการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว นักกิจกรรมบำบัด บอกต่อว่า การจัดลำดับของสิ่งที่ทำนั้นก็ช่วยทำให้คุณใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพได้ อย่างน้อย ๆ จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าควรเริ่มทำสิ่งใดก่อนหลังดี ซึ่งมีอยู่ 4 กลุ่มได่แก่ 1. สำคัญและเร่งด่วน 2. สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน 3.ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน 4. ไม่สำคัญ และไม่เร่งด่วน โดยแต่ละกลุ่มนั้น อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ดังรายละเอียดต่อไป

สิ่งสำคัญและเร่งด่วน

เป็นสิ่งที่จำเป็น และต้องทำทันที เช่น ป่วยไม่สบายทนไม่ไหวต้องไปหาหมอ ต้องไปจ่ายค่าไฟฟ้า เนื่องจากเป็นวันสุดท้ายที่ครบกำหนดจ่าย น้ำมันรถหมดต้องเติมปั้มที่ใกล้ที่สุดทันที สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถผ่อนผันเวลาได้ ต้องทำทันทีและถูกบังคับจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ถ้าไม่ทำแล้วจะก่อปัญหา และถ้าหากมีสิ่งนี้มากเกินไปจะทำให้ชีวิตค่อนข้างวุ่นวายกดดัน ยุ่งเหยิงตลอดเวลา ซึ่งอาจเกิดได้จากสถานการณ์บังคับ ผัดวันประกันพรุ่งหรือไม่ค่อยใส่ใจ

ขอบคุณภาพประกอบข่าวจากโรงพยาบาลมนารมย์
สิ่งสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน

เป็นสิ่งที่มีความสำคัญ และสามารถวางแผนไว้ล่วงหน้าได้ เช่น มีนัดไปอบรมสัมนา 3 วัน ในอีก 3 เดือนข้างหน้า หรือมีนัดทำสัญญาการจัดจ้างอีก 2 สัปดาห์ หรือมีนัดพักผ่อนกับครอบครัวช่วงปลายปี สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่อยากทำและสามารถวางแผนจัดการเวลาไว้ล่วงหน้าได้ ซึ่งมักส่งผลให้มีการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพและชีวิตมีเป้าหมายในการใช้ เวลาในแต่ละวัน

สิ่งไม่สำคัญแต่เร่งด่วน

เป็นสิ่งที่ทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ ซึ่งต้องเผชิญและต้องตัดสินใจในขณะนั้นทันที เช่น มีคนโทรศัพท์มาชวนทำบัตรเครดิต มีคนขอความช่วยเหลือถามทาง เพื่อนชวนไปกินข้าวด้วยตอนนี้ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มาขัดจังหวะการใช้เวลาและขึ้นอยู่กับการตัดสินใจใน ขณะนั้น ซึ่งส่งผลทำให้การใช้เวลามีประสิทธิภาพลดลง

สิ่งไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน

เป็นสิ่งที่ทำไปตามอารมณ์หรือความรู้สึก ซึ่งทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ เช่น เล่นเกมฆ่าเวลา นอนจนเกินความต้องการ ดูโทรทัศน์ไปเรื่อย ๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความเพลิดเพลินแต่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร ควรลดให้เหลือน้อยที่สุด

โดยทั้งนี้ นักกิจกรรมบำบัดแนะว่า ควรลองนำสิ่งต่าง ๆ ที่จัดตาม 4 กลุ่มข้างต้นมาจัดเรียงลำดับกัน โดยเรียงจากสิ่งที่ต้องทำในกลุ่มสิ่งสำคัญและเร่งด่วนเป็นอันดับแรก สิ่งสำคัญแต่ไม่เร่งด่วนเป็นอันดับสอง สิ่งไม่สำคัญแต่เร่งด่วนเป็นอันดับสาม และสิ่งไม่สำคัญ ไม่เร่งด่วนเป็นอันสุดท้าย นั่นจะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการที่จะเริ่มทำอะไรก่อนหลังอย่างไม่ ยุ่งเหยิง

ลองนำไปปรับใช้กันดู นะครับ หากผู้อ่านท่านใดมีเทคนิคการบริหารจัดการเวลาที่ทำแล้วได้ผล เข้ามาบอกกันได้นะครับ บางทีวิธีของท่านอาจจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านท่านอื่น ๆ ไม่มากก็น้อย

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

Solar Farm ม.อุบลฯ

“Solar Farm ม.อุบลฯ” ไร่แห่งความรู้ คู่แดนอีสาน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 เมษายน 2554 04:29 น.

ข่าวโรงงานไฟฟ้า นิวเคลียร์ที่ประเทศญี่ปุ่นเสียหายจากภัยพิบัติ คงทำให้หลายคนได้ตระหนักว่า พลังงานสะอาดจากธรรมชาตินั้น เป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากกว่าหลายเท่า แต่ปัญหา คือ แหล่งเรียนรู้พลังงานทางเลือกที่เปิดโอกาสแบบไม่มีข้อจำกัดให้แก่นักศึกษา ยังขาดแคลน มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีจึงร่วมกับภาคเอกชน เปิดตัวโครงการ “ไร่พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm)” มุ่งเป้าให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านพลังงานทางเลือกแก่เยาวชน และเป็นต้นแบบแหล่งพลังงานที่สำคัญในอนาคตต่อไป

นายสมชาย เหล่าสายเชื้อ (ซ้าย) เดินชมไร่พลังงานแสงอาทิตย์

โครงการไร่พลังงานแสงอาทิตย์ นับเป็นขนาดใหญ่ที่สุดของจังหวัดอุบลราชธานี ที่เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ในเดือนเมษายนนี้ โดยนายสมชาย เหล่าสายเชื้อ กรรมการ สนับสนุนกิจการมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เปิดเผยว่าไร่พลังงานแสงอาทิตย์ ตั้งบนพื้นที่กว่า 15 ไร่ ที่อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี ด้วยกำลังการผลิตขนาด 1 เมกะวัตต์ ซึ่งผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ผ่านกระบวนการ Photovoltaic (PV) หรือการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นประจุไฟฟ้าผ่านสารกึ่งตัวนำด้วยแสง อาทิตย์ (Solar Cells) จำนวน 5,000 แผง โดยจะเริ่มจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ระบบได้ในเดือนเมษายน โดยไร่แสงอาทิตย์แห่งนี้จะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิด ภาวะโลกร้อนได้มากกว่า 300 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี


“หากในอนาคต ประเทศไทยมีการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จริง จังหวัดอุบลราชธานี ก็เป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่เป็นพื้นที่ก่อสร้าง ดังนั้นไร่พลังงานแสงอาทิตย์ ย่อมเป็นทางออก ว่าเราเน้นการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ให้เกิดประโยชน์ เป็นทางออกให้สังคม ว่าถ้าไม่ใช้พลังงานนิวเคลียร์ เราก็ควรใช้พลังงานจากธรรมชาติ ซึ่งมีมากที่สุดนั่นคือ พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งใช้ได้มากมายทั้งแปรรูปอาหาร เพิ่มความร้อน แปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าและเป็นโจทย์ที่ศูนย์แห่งนี้ตอบได้ เพราะเราใช้แสงอาทิตย์ มาเป็นพลังงานบริสุทธิ์ เป็นการเสนอทางออกให้ชุมชน จังหวัดว่า ไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานนิวเคลียร์”

อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์หลักของโครงการเพื่อเป็นศูนย์เรียนรู้ แหล่งการศึกษา แก่นิสิตนักศึกษา ผู้สนใจทั่วไป ทำให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้ามาทำการวิจัยข้อมูลได้ โดยไม่ต้องไปบินดูงานถึงต่างประเทศ

“นอกจากนี้ ด้านจุดเด่นของสภาพภูมิศาสตร์จังหวัดอุบลราชธานี ก็นับว่าได้เปรียบเพราะภาคอีสานมีปริมาณแสงอาทิตย์เข้มข้น พระอาทิตย์ขึ้นเป็นแห่งแรกของประเทศไทย ทำเลที่ตั้งจึงได้เปรียบ เส้นทางการเดินทางไปสู่ไร่พลังงานแสงอาทิตย์ก็ไม่ไกลจากชุมชน หรือสถานศึกษา ทำให้สามารถเดินทางไปดูงานได้สะดวก” นายสมชาย กล่าวทิ้งท้าย

ด้าน ผศ.ดร.จันทร์เพ็ญ อินทรประเสริฐ คณบดีคณะ วิทยาศาสตร์ กล่าวถึงโครงการครั้งนี้ ว่าเป็นความร่วมมือระดับมหาวิทยาลัย ลงนามความร่วมมือกับภาคเอกชน โดยมีคณะวิทยาศาสตร์ กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ ร่วมมือในการทำงานโครงการ

“ปัจจุบันคณะวิทยาศาสตร์ พยายามผลิตโซลาร์เซลล์จากสารอินทรีย์ ซึ่งเป็นสารที่เราสังเคราะห์ขึ้นมาเอง โดยมีกลุ่มนักวิจัยรุ่นใหม่ของสมาคมวิทยาศาสตร์ และใช้สารที่เป็นสารอินทรีย์ทั้งหมด จากที่ส่วนใหญ่ใช้สารอนินทรีย์ซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกัน ดังนั้นถ้าเราผลิตโซลาร์เซลล์ดังกล่าวได้ ก็จะทำให้ต้นทุนถูกลง และสามารถเก็บพลังงานงานแสงอาทิตย์ได้มากขึ้น”

ผศ.ดร.จันทร์เพ็ญ ยังกล่าวถึงการต่อยอดจากโครงการ ว่าเมื่อนักศึกษาในระดับปริญญาโท - เอก สังเคราะห์สารได้ แล้ว ก็นำมาเป็นประโยชน์ได้ เพราะปัจจุบันเราเรียนรู้จากห้องปฏิบัติการ และทำจากในระดับโมเดล เมื่อมีไร่พลังงานแสงอาทิตย์ของจริงให้ศึกษา นักศึกษาย่อมมีโอกาสอันดีที่จะออกไปสู่ภาคสนาม

ส่วน ผศ.ดร.อำไพศักดิ์ ทีบุญมา อาจารย์จากคณะ วิศวกรรมศาสตร์ เปิดเผยถึงความร่วมมือในโครงการว่า มีความร่วมมือเบื้องต้นในกรอบว่า ไร่พลังงานแสงอาทิตย์ จะใช้ประโยชน์อะไรในวงวิชาการให้มากที่สุด จึงวางกรอบว่า ศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้ควรมีอะไร และมีข้อจำกัดการเยี่ยมชมหรือไม่

“เรานำเสนอไปยังคณะทำงานว่า ให้สร้างทีวีวงจรปิดด้วย เพื่อให้เป็นการศึกษาแบบเรียลไทม์จากโรงไฟฟ้าจริงๆ ซึ่งจะมีห้องเรียนที่ ม.อุบลฯ สามารถศึกษาจากในมหาวิทยาลัยได้ด้วย และแม้ว่า โซลาร์ ฟาร์ม เทคโนโลยีไม่ได้เป็นของใหม่ แต่การเข้าถึงของจริง หรือการขอเข้าชมดูงานนั้น มีขั้นตอน และพิธีการมาก หรือการเข้าไปแล้วก็ยังขาดคนที่จะมาถ่ายทอดข้อมูล ไร่พลังงานแสงอาทิตย์แห่งนี้ จึงทำให้นักศึกษา รวมถึงบุคคลทั่วไปสะดวกในการเข้าถึงข้อมูล”

ผศ.ดร.อำไพศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ยิ่งไปกว่านั้น นักศึกษายังสามารถเข้าไปวิเคราะห์ หาข้อมูลเพื่อการศึกษา ได้อย่างเต็มที่ หลายที่อาจจะประสบความสำเร็จในการทำโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ แต่การเข้าถึงข้อมูลได้อย่างแท้จริงยังมีวงจำกัด ซึ่งตรงนี้เป็นข้อได้เปรียบของนักศึกษา ที่จะได้ลงพื้นที่ต่อเนื่อง และต่อยอดจากห้องแลป โดยรูปแบบของศูนย์นี้ จึงเป็นแหล่งเรียนรู้ของจริง เพราะเปิดเผยข้อมูลทุกอย่าง และตอบทุกคำถามที่ให้คำตอบได้

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

รถบ้าน "วิกรม กรมดิษฐ์ "

เปิดตัว "มอเตอร์โฮม" รถบ้าน "วิกรม กรมดิษฐ์ "
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 มีนาคม 2554 08:48 น.
ข่าวในประเทศ-เวทีมอเตอร์โชว์ 2011 สร้างสีสันเปิดตัวรถมอเตอร์โฮม 3 คันที่ประกอบขึ้นเพื่อใช้เดินทางการถ่ายทำสารคดีชุด "เบิกฟ้าท้าโลก" เพื่อตามหารากวัฒนธรรมของประเทศลุ่มน้ำโขง โดยมีมูลค่ารวมกว่า 20 ล้านบาท ซึ่งไฮไลต์อยู่ที่รถขบวน (Leader Bus) ใช้เป็นสถานที่ทำงานและห้องนอนของ วิกรม กรมดิษฐ์ ประธานมูลนิธิอมตะที่ร่วมเดินทางไปด้วย


รถขบวน (Leader Bus)
การถ่ายทำสารคดีชุดเบิกฟ้าท้าโลก ตามหารากวัฒนธรรมของประเทศลุ่มน้ำโขงตั้งแต่ ไทย ลาว เวียดนาม จีน และพม่า รวมระยะเวลาประมาณ 4 เดือน โดยการเดินทางใช้รถมอเตอร์โฮมจำนวน 3 คัน ซึ่งทั้งหมดเป็นรถจาก HINO ประกอบในประเทศไทย ณ นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 212 แรงม้า ระบบหัวฉีดแบบคอมมอนเรล ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ พร้อมระบบเผาไหม้ แบบไดเรค อินเจคชั่น (Direct Injection) ทุกคันเป็นแบบ 2 เพลา เนื่องจากต้องการกำลังในการขับเคลื่อนสูง แต่ไม่ต้องการความเร็วมาก

แม้จะเป็นรถที่ประกอบจากแหล่งเดียวกัน แต่ตัวรถทั้ง 3 คันมีจุดประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ทั้งยังถูกออกแบบให้ทุกตารางนิ้วสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดแบบมัลติเพอร์โพส (Multipurpose) โดยรถขบวน (Leader Bus) เป็นรถขนาดสิบล้อ มูลค่า 7 ล้านบาท ใช้เป็นสถานที่ทำงานและห้องนอนของวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานมูลนิธิอมตะที่ร่วมเดินทางไปด้วย มีที่ประชุมประมาณ 7 ที่นั่ง พร้อมห้องนอนของแขก ส่วนคันที่ 2 คือ รถ Office (Office Bus) รถขนาดสิบล้อ มูลค่า 7 ล้านบาท ใช้เป็นที่ทำงานของพนักงาน, ห้องประชุมใหญ่ 7 ที่นั่ง, ห้องครัว, ห้องรับประทานอาหาร, ห้องนอนของพ่อครัวและคนขับรถ และคันที่ 3 คือ รถพนักงาน (Crew Bus) รถขนาดหกล้อ ราคา 6 ล้านบาท ใช้เป็นที่พักผ่อน, ห้องนอน, ห้องทำงานของพนักงาน 7 คน และห้องพยาบาล

รถทุกคันออกแบบโครงสร้างภายนอกโดยบริษัท พานทอง ส่วนการเพิ่มเติมอุปกรณ์และตกแต่งภายในโดย บริษัท Motor Home โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่น Koeji Matsuda อายุ 65 ปี เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท Vantec ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตและขายรถ Camping Car มากเป็นอันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่น คิดเป็น 60% ของตลาดรถบ้าน มาออกแบบและติดตั้งให้ด้วยตัวเอง

ภายในพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ห้องน้ำ ประกอบด้วยห้องอาบน้ำ อ่างล้างมือ และโถส้วมซึ่งเป็นระบบเผาไหม้ของเสีย เพื่อให้สะดวกแก่การทำความสะอาด, แหล่งกำเนิดไฟฟ้า มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 8.5 KW ใช้น้ำมันดีเซล, เครื่องซักผ้า มี 1 เครื่อง ขนาด 20 กิโลกรัม, ห้องครัวทำจากสแตนเลสทั้งหมด สามารถทำอาหารเลี้ยงแขกได้ประมาณ 20-30 คน ประกอบด้วย เตาแก๊ส 2 หัว เครื่องไมโครเวฟ 1 เครื่อง ตู้แช่แข็งสำหรับแช่เนื้อและตู้เย็น 1 ตู้, ความบันเทิงในรถ ทุกห้องมีวิทยุ Sony ทั้งหมดพร้อมลำโพง ในพื้นที่ส่วนกลางของรถแต่ละคันมี TV LCD และ DVD

ด้านความปลอดภัยภายในรถทุกคัน เนื่องจากเครื่องอำนวยความสะดวกบนรถทั้งหมดใช้ระบบไฟฟ้า รวมถึงการทำความเย็นภายในรถ ในการติดตั้งระบบไฟฟ้าทั้งหมด ใช้ระบบ Breaker และ Fuse เพื่อป้องกันการใช้ไฟเกินจากที่กำหนด และมีถังดับเพลิงภายในในกรณีเกิดไฟไหม้ ขณะที่ภายนอกรถใช้ระบบกล้องจับวัตถุเคลื่อนไหว และบันทึกใน Computer และมีสัญญาณเตือนเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าใกล้รถ

ทั้งนี้ ในวันอังคารที่ 29 มีนาคม 2554 จะเป็นการปล่อยขบวน "คาราวานท่องลุ่มน้ำโขง" จากอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สู่สาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว เป็นจุดหมายแรกของการเดินทาง



วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2554

โซลาร์ฟาร์ม

เปิด "โซลาร์ฟาร์ม" โคราช ไฟฟ้าแสงอาทิตย์ใหญ่สุดอาเซียน - จ่อผุด 34 แห่งอีสาน 2.4 หมื่นล. โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 มีนาคม 2554 15:21 น.

“โซล่าฟาร์ม โคราช 1” ต.ดอนชมพู อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่สุดของไทยและใหญ่สุดในอา เซียน ของ บริษัท โซล่า เพาเวอร์ จำกัด วันนี้ ( 20 มี.ค.)

ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - เปิด ตัว “โซลาร์ฟาร์ม โคราช 1” โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่สุดในอาเซียน ต.ดอนชมพู อ.โนนสูง ระบุทุ่มทุนสร้าง 700 ล้าน ติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ร่วม 3 หมื่นแผง บนพื้นที่กว่า 100 ไร่ กำลังผลิต 6 เมกะวัตต์ จำหน่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบ เม.ย. โกยรายได้วันละกว่า 4.3 แสน เผยแผนลงทุน 2.4 หมื่นล้าน ผุดโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์พลังงานสะอาดรวม 34 แห่งใน 9 จว.ภาคอีสาน ตั้งเป้าดำเนินการเสร็จในปี 2556

วันนี้ (20 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านดอนชมพู ต.ดอนชมพู อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา บริษัทโซล่า เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์รายใหญ่ของประเทศไทย ได้ทำพิธีเปิดตัวโซลาร์ฟาร์มแห่งแรกของภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างเป็นทาง การ โดยใช้พื้นที่กว่า 100 ไร่ ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์จำนวน 29,160 แผง มีกำลังผลิตไฟฟ้า 6 เมกะวัตต์ ซึ่งถือเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่สุดของภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในขณะนี้

น.ส.วันดี กุญชรยาคง กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซล่า เพาเวอร์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทโซล่า เพาเวอร์ มีแผนลงทุนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่ภาคอีสาน 34 โครงการ รวมกำลังผลิต 205 เมกะวัตต์ ด้วยเงินลงทุนทั้งสิ้น 24,000 ล้านบาท โดยจะก่อสร้างให้แล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2556 ซึ่งโครงการทั้งหมดมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์กับการไฟฟ้าส่วน ภูมิภาค (กฟภ.) โดยเน้นลงทุนในภาคอีสาน ซึ่งมีความเข้มข้นของรังสีจากแสงอาทิตย์สูง

ได้แก่ 1. จ.นครราชสีมา 9 แห่ง กำลังผลิต 54 เมกะวัตต์ เงินลงทุนประมาณ 6,300 ล้านบาท ,
2.จ.ขอนแก่น 10 แห่ง กำลังผลิต 60 เมกะวัตต์ เงินลงทุน7,000 ล้านบาท ,
3.จ.บุรีรัมย์ 3 แห่ง กำลังผลิต 18 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 2,100 ล้านบาท
4.จ.สุรินทร์ 3 แห่ง กำลังผลิต 18 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 2,100 ล้านบาท ,
5. จ.นครพนม 3 แห่ง กำลังผลิต 18 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 2,100 ล้านบาท ,
6. จ.สกลนคร 2 แห่ง กำลังผลิต 12 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 1,400 ล้านบาท ,
7. จ.ร้อยเอ็ด 2 แห่ง กำลังผลิต 12 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 1,400 ล้านบาท ,
8. จ.หนองคาย 1 แห่ง กำลังผลิต 6 เมกะวัตต์ และ
9. จ.อุดรธานี 1 แห่ง กำลังผลิต 6 เมกะวัตต์ เงินลงทุนแห่งละ 700 ล้านบาท

สำหรับโซลาร์ฟาร์มโคราช 1 (ต.ดอนชมพู อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา ) แห่งนี้ ถือเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เชิงพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ ไทย และใหญ่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน ภายใต้การบริหารงาน ของ บริษัท โซล่า เพาเวอร์ (โคราช 1 ) จำกัด มีผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สำคัญ เช่น มูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม , บริษัท ไทยฟ้า เพาเวอร์ จำกัด เป็นต้น ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 700 ล้านบาท ปัจจุบันได้ดำเนินการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว และเริ่มจ่ายไฟเข้าระบบของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่เดือนเม.ย.2553 ที่ผ่านมา สร้างรายได้วันละ 4.3 แสนบาท

นอกจากนี้ ทางบริษัทฯ ยังได้ทำการพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์มแห่งที่ 2 ภายใต้บริษัท โซล่า เพาเวอร์ (สกลนคร 1 ) ที่ จ.สกลนคร สามารถจำหน่ายไฟฟ้าได้แล้วตั้งแต่เดือนก.พ. 2554 ที่ผ่านมา และ แห่งที่ 3 ภายใต้ บริษัทโซล่า เพาเวอร์ ( นครพนม 1 ) จำกัด ที่ จ.นครพนม ซึ่งจะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าได้ภายในเดือน มี.ค.2554 นี้

“การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานที่สะอาด ปราศจากมลิษที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเชื้อเพลิง ค่าบำรุงรักษาน้อย และยังสามารถพัฒนาคาร์บอนเครดิต เพื่อช่วยลดสภาวะโลกร้อนได้อีกด้วย” น.ส.วันดี กล่าว



น.ส.วันดี กุญชรยาคง กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซล่า เพาเวอร์ จำกัด