วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์

ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นยืนยัน “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์” รุ่นใหม่ปลอดภัยกว่ารุ่นฟูกูชิมะ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 กรกฎาคม 2554 18:38 น.

ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นยืนยันเทคโนโลยี “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์” รุ่นใหม่ปลอดภัยกว่ารุ่นฟูกูชิมะ ชี้ปัญหานิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่นเป็นความผิดพลาดของมนุษย์ที่ไม่สามรถจัดการได้ทันท่วงที ระบุว่านักวิชาการเคยเตือน “เท็ปโก” เมื่อ 2-3 ปีก่อนถึงอันตรายจากสึนามิ แต่ผู้ประกอบการเพิกเฉย
ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นยืนยันเทคโนโลยี “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์” รุ่นใหม่ปลอดภัยกว่ารุ่นฟูกูชิมะ ชี้ปัญหานิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่นเป็นความผิดพลาดของมนุษย์ที่ไม่สามรถจัดการได้ทันท่วงที ระบุว่านักวิชาการเคยเตือน “เท็ปโก” เมื่อ 2-3 ปีก่อนถึงอันตรายจากสึนามิ แต่ผู้ประกอบการเพิกเฉย

       

       ดร.ทากาโตชิ ทาเกโมโตะ (Dr.Takatoshi Takemoto) วิศวกรนิวเคลียร์จากห้องปฏิบัติการวิจัยเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ สถาบันเทคโนโลยีโตเกียว (Tokyo Institute of Technology) ประเทศญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ว่า จากประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์กว่า 20 ปีของเขานั้น บอกได้เทคโนโลยีโรงไฟฟ้นิวเคลียร์ในปัจจุบันซึ่งเดินมาถึงรุ่นที่ 4 แล้ว มีความปลอดภัยมากกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟูกูชิมะ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รุ่นแรก

       

       แม้ว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะไดอิจิ (Fukushima Daiichi) ของบริษัทโตเกียวอิเล็กทริกพาวเวอร์ (Tokyo Electric Power Co.) หรือเท็ปโก (TEPCO) จะประสบกับภัยธรรมชาติทั้งแผ่นดินไหวและสึนามิ แต่ในมุมของ ดร.ทาเกโมโตะมองว่าปัญหาที่เกิดนั้นเป็นความผิดพลาดของมนุษย์ โดยเป็นปัญหาเรื่องการจัดการ ซึ่งหากทำได้ดีปัญหาก็จะไม่ใหญ่โตขนาดนี้ แต่เท็ปโกกลับไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อ 2-3 ปีก่อนนักวิชาการเคยเตือนว่าจะเกิดสึนามิสูงกว่าระดับกำแพง 10 เมตรที่สร้างไว้ แต่ผู้ประกอบการกลับไม่ลงทุนสร้างกำแพงให้มีความสูงในระดับที่น่าจะปลอดภัย

       

       หลังเหตุการณ์ภัยพิบัติธรรมชาติและส่งผลกระทบต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ดร.ทาเกโมโตะบอกว่ามีเสียงคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ตามมา และฝ่ายค้านใช้เป็นเรื่องโจมตีรัฐบาล แต่ขณะนี้ทางรัฐบาลยังไม่ตัดสินใจว่าจะเอานิวเคลีรย์หรือไม่ ทั้งนี้ ญี่ปุ่นใช้พลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานพื้นฐานในสัดส่วนคงที่ 34% และใช้พลังงานน้ำมันเป็นพลังงานหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยเริ่มใช้พลังงานนิวเคลียร์มาประมาณ 50 ปี ซึ่งหลังจากรัฐบาลตัดสินใจสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จึงได้ส่งคนไปศึกษาเทคโนโลยีนี้ที่สหรัฐฯ

       

       ปัจจุบันญี่ปุ่นมีเทคโนโลยีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2 แบบ คือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเตาปฏิกรณ์น้ำเดือด (Boiling Water Reactor: BWR) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของมิตซูบิชิ และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเตาปฏิกรณ์ความดัน (Pressurized Water Reactor: PWR) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของโตชิบา โดยประมาณ 80% ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่น เป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบน้ำเดือด ทั้งนี้ญี่ปุ่นมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใช้งานอยู่ 55 โรง

       

       สำหรับเมืองไทยหากจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์บ้าง ดร.ทาเกโมโตะ แนะว่าควรต้องสร้างบุคลากรรองรับ และถ้าพัฒนาคนทางด้านนี้ขึ้นมาแล้วแต่ไทยไม่สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ บุคลากรเหล่านั้นยังไปทำงานในโรงไฟฟ้าอื่นๆ ได้เพราะใช้ความรู้พื้นฐานเดียวกัน

       

       ทั้งนี้ เป็นการเปิดเผยระหว่างการประชุมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ครั้งที่ 12 ซึ่งจัดขึ้นโดยสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์ (องค์การมหาชน) หรือ สทน. ระหว่างวันที่ 6-7 ก.ค.54 ณ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ ในหัวข้อ กึ่งศตวรรษนิวเคลียร์ไทย กับอนาคตในทศวรรษหน้า (Half Century and Upcoming Decade of Technology in Thailand)

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วาฬ: สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ในทะเล

วาฬ: สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ในทะเล
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 มิถุนายน 2554 08:10 น.

มนุษย์รู้สึกประทับใจในความมโหฬารของวาฬมานานนับพันปีแล้ว ภาพวาดอายุ 3,000 ปีที่ปรากฏบนผนังถ้ำในนอร์เวย์ แสดงให้เห็นว่า ชาวไวกิงในสมัยนั้นรู้จักล่าวาฬเป็นอาหาร และรู้จักนำกระดูกไปแกะสลักเป็นเครื่องประดับสำหรับสวมใส่ ชนเผ่า Basque ในสเปนเมื่อหนึ่งพันปีก่อน ก็รู้จักบริโภคเนื้อวาฬเป็นอาหารเช่นกัน เรือ Mayflower ที่ใช้อพยพคนอังกฤษไปอเมริกาเมื่อ 400 ปีก่อน ก็เป็นเรือล่าวาฬ

วาฬมิใช่ปลา ทั้งๆ ที่มีหางและอาศัยอยู่ในน้ำ การดูเผินๆ ทำให้แม้แต่ปราชญ์ Aristotle ก็ยังหลงผิด แต่การเข้าใจผิดนี้ได้รับการแก้ไขในปี 2236 เมื่อนักชีววิทยาชาวอังกฤษชื่อ John Ray ได้พิสูจน์ว่า วาฬมิใช่ปลา แต่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีเลือดอุ่น ออกลูกเป็นตัว และเลี้ยงลูกอ่อนด้วยนมเช่นเดียวกับคน แมว และม้า แม้โลกจะมีแมวน้ำและวอลรัสที่ต่างก็เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในทะเล แต่สัตว์ทั้งสองชนิดนี้เวลาจะออกลูก มันจะคลานขึ้นบก ส่วนวาฬ ไม่ว่าจะออกลูก เลี้ยงลูก จะอยู่ในทะเลตลอดเวลา

โลกมีตำนานเล่าเกี่ยวกับวาฬมากมาย เช่นคัมภีร์ไบเบิลของคริสต์ศาสนาได้กล่าวถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับวาฬว่า เมื่อพระเจ้าโปรดให้ Jonah เดินทางไปเมือง Nineveh แห่งอาณาจักร Assyria เพื่อห้ามชาวเมืองมิให้ทำบาปและประพฤติชั่ว Jonah มิได้รู้สึกปีติยินดีแม้แต่น้อย เขาได้หลบหนีไปกับเรือมุ่งหน้าสู่เมือง Tarshish แต่ขณะเดินทาง เรือถูกพายุพัดกระหน่ำจนเหล่ากะลาสีแตกตื่น และตระหนกตกใจกลัวว่าพระเจ้าจะลงโทษ จึงได้พร้อมใจกันโยน Jonah ลงทะเลเพื่อให้พระเจ้าทรงพอพระทัย Jonah ถูกวาฬกลืนเข้าไปในกระเพาะ หลังจากนั้นเป็นเวลานานสามวันสามคืน วาฬได้สำรอก Jonah ออกมาบนฝั่ง การเกือบสิ้นชีวิตในครั้งนั้นทำให้ Jonah สำนึกผิด จึงออกเดินทางไปเมือง Nineveh ทันทีอย่างไม่บิดพลิ้วอีกเลย และได้บอกชาวเมืองว่า ถ้าพวกเขาไม่เปลี่ยนพฤติกรรม พระเจ้าจะลงโทษ ชาวเมืองก็เชื่อฟัง

ในนวนิยายเรื่อง Moby Dick ของ Herman Melville ซึ่งถูกประพันธ์ในปี 2394 ก็ได้กล่าวถึงกัปตัน Ahab ว่ามีความประสงค์จะล่าวาฬสีขาวเจ้าเล่ห์ชื่อ Moby Dick ที่เคยกัดขาข้างหนึ่งของตนจนขาด ในการต่อสู้ระหว่างลูกเรือกับวาฬปิศาจชื่อ Moby Dick บรรดานักล่าวาฬได้ใช้ฉมวกทิ่มแทง Moby Dick หลายครั้งจนมันรู้สึกโกรธมาก ก่อนตายมันจึงใช้กำลังล่มเรือ ทำให้ลูกเรือจมน้ำตายเกือบหมด มีรอดชีวิตมาได้เพียงคนเดียว Melville ได้เขียนนวนิยายเรื่องนี้โดยใช้ประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานในเรือล่าวาฬ นวนิยายคลาสสิกเรื่องนี้มีจุดมุ่งหมายให้ผู้อ่านตระหนักในภัยอันตรายที่เกิดจากการล้างแค้น

นักชีววิทยาพบว่าโลกมีวาฬ 83 พันธุ์ เช่น วาฬครีบ (fin whale) วาฬเบลูกา (beluga whale) วาฬเพชฌฆาต (killer whale) วาฬหลังโหนก (humpback whale) วาฬหัวทุย (sperm whale) และวาฬไรต์ (right whale) ซึ่งสามารถพบเห็นได้ในทะเลและมหาสมุทรทั่วโลก วาฬเป็นสัตว์น้ำที่ต้องการอากาศหายใจ แต่ก็มิอาจดำรงชีวิตบนบกได้

เมื่อดูเผินๆ วาฬมีรูปร่างคล้ายตอร์ปิโด ตามีขนาดเล็ก และอยู่ข้างกะโหลก ทำให้มองตรงไปข้างหน้าไม่ได้ ดวงตามีไขหล่อลื่นตลอดเวลา น้ำเค็มจึงไม่เป็นอันตรายต่อตา ตามปรกติตาจะเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใต้น้ำได้ดีกว่าเหนือน้ำ วาฬไม่มีคอ มีจมูกอยู่ด้านบนของหลัง หางที่ทรงพลังของมันไม่มีกระดูก มีแต่กล้ามเนื้อ หน้าที่หลักของหางคือช่วยในการทรงตัวและว่ายน้ำ โดยเฉพาะวาฬเพชฌฆาตนั้นนับเป็นสัตว์ที่ว่ายน้ำได้เร็วที่สุดในโลก ด้วยความเร็วถึง 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

การมีลำตัวเรียบทำให้มันว่ายแหวกน้ำได้เรียบและเร็ว ใต้ผิวหนังมีไขมันเป็นชั้นหนา ไขมันช่วยให้ตัววาฬอบอุ่นขณะว่ายน้ำในทะเลแถบขั้วโลก อุณหภูมิร่างกายของวาฬสูงประมาณ 39 องศาเซลเซียส การมีไขมันมากทำให้ลำตัวไม่จำเป็นต้องมีขนปกคุลม แม้จะไม่มีใบหู แต่มันก็มีรูหูเล็กๆ รูหนึ่งอยู่บนหัว เวลาหายใจมันจะว่ายน้ำขึ้นมาหายใจที่ผิวน้ำเป็นจังหวะ เพราะเลือดวาฬดูดซึมออกซิเจนได้มากกว่าเลือดสัตว์บกอื่นๆ มันจึงสามารถดำน้ำได้ลึกมาก เวลาจะดำน้ำ มันจะหายใจเอาอากาศเข้าจนเต็มปอด แล้วดำดิ่งลงเป็นเวลานาน 15-20 นาที ขณะอยู่ใต้น้ำ อากาศในปอดจะได้รับความร้อนและมีความชื้นปริมาณมาก ดังนั้นเวลามันหายใจออก ไอน้ำที่ถูกปล่อยออกเมื่อปะทะอากาศเย็นจะกลั่นตัวเป็นหมอกให้เราเห็น ลมหายใจออกของวาฬจึงมีลักษณะคล้ายน้ำพุแต่ไม่ใช่น้ำพุ

วาฬเป็นสัตว์สังคมที่ชอบว่ายน้ำเป็นฝูง วาฬขนาดใหญ่ที่อาศัยในทะเลลึกจะไม่หากินใกล้ฝั่ง แต่วาฬที่มีขนาดเล็กกว่าชอบล่าเหยื่อตามชายฝั่ง การศึกษาฟอสซิลทำให้เรารู้ว่า วาฬเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่โลกเคยมี โดยเฉพาะปลาวาฬสีน้ำเงินอาจมีลำตัวยาวถึง 35 เมตร คือยาวกว่าไดโนเสาร์ Tyrannosaurus Rex ถึง 5 เท่า และมีปริมาตรลำตัวเท่ากับวัว 150 ตัว หรือช้าง 25 ตัว การมีขนาดใหญ่เช่นนี้ เนื่องจากกระดูกในลำตัวไม่จำเป็นต้องรองรับน้ำหนักตัวมันทั้งหมด เพราะมีแรงพยุงจากน้ำทะเลช่วย ด้วยเหตุนี้กระดูกวาฬจึงพรุนและไม่แข็งแรง ดังนั้นเวลาวาฬว่ายน้ำเกยตื้น น้ำหนักตัวที่มากมหาศาลจะกดปอด และกระดูกทำให้มันหายใจไม่ออกจึงตายในที่สุด เวลากินอาหาร วาฬมักกลืนอาหารทั้งชิ้นโดยไม่เคี้ยว ช่องคอวาฬบางพันธุ์มีขนาดใหญ่จึงสามารถกลืนคนได้ทั้งตัว แต่วาฬบางพันธุ์มีช่องคอเล็ก วาฬหัวทุยชอบกินหมึก ส่วนวาฬเพชฌฆาตชอบกินแมวน้ำ และนกเพนกวินมาก จนชาวประมงจัดมันเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกินเนื้อที่ดุร้ายที่สุดในโลก กระเพาะของวาฬมีโครงสร้างที่ซับซ้อน บางพันธุ์มีช่องในกระเพาะถึง 14 ช่อง แต่บางพันธุ์ก็มีเพียง 4 ช่อง

วาฬออกลูกคราวละตัวในน้ำ โดยให้หางของลูกออกมาก่อน ลูกวาฬที่คลอดใหม่มีสภาพเป็นปลาอย่างสมบูรณ์ มันสามารถว่ายน้ำรวมกลุ่มกับวาฬที่เติบโตเต็มที่ได้ทันที แม่วาฬจะให้นมลูกดื่มนานประมาณ 6 เดือน เพราะนมวาฬมีโปรตีนและสารอาหารสมบูรณ์ ดังนั้นลูกวาฬจึงเจริญเติบโตเร็ว พออายุได้ 3 ปีมันก็พร้อมสำหรับการเจริญพันธุ์ แต่นักชีววิทยาถือว่ามันจะเจริญเต็มที่เมื่อมีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป วาฬที่มีขนาดใหญ่จะผสมพันธุ์ปีเว้นปี และแม้จะมีขนาดใหญ่ แต่วาฬบางพันธุ์ก็อายุสั้น วาฬ baleen มีอายุประมาณ 20 ปี ในขณะที่มนุษย์มีอายุขัยประมาณ 70 ปี วาฬจับเหยื่อโดยใช้ระบบโซนาร์เช่นเดียวกับค้างคาว คือมันจะฟังเสียงสะท้อนจากเหยื่อ ซึ่งจะบอกรูปร่างและตำแหน่งของเหยื่อให้มันรู้ และเมื่อถึงฤดูสืบพันธุ์ วาฬตัวผู้จะร้องเพลงครวญคราง เสียงวาฬที่มีความถี่ต่ำสามารถเดินทางในน้ำได้ไกลเป็นร้อยกิโลเมตร มันใช้เสียงในการสื่อสารให้ตัวเมียรับรู้ วาฬบางพันธุ์เช่น วาฬสีเทาชอบอพยพโดยเฉพาะในฤดูหนาว มันจะว่ายน้ำจากชายฝั่งของประเทศเม็กซิโกไปอาศัยในทะเล Alaska ในฤดูร้อน มันจึงเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อพยพไกลที่สุดที่มนุษย์รู้จัก แม้เราจะรู้พฤติกรรมและธรรมชาติความเป็นอยู่ของวาฬมากก็ตาม แต่ก็มีพฤติกรรมหนึ่งของวาฬที่นักชีววิทยายังงุนงง และอธิบายได้ไม่ดีนักพฤติกรรมนั้นคือ การฆ่าตัวตายหมู่ ซึ่งบางครั้งอาจมีจำนานมากถึง 100 ตัว ซึ่งได้พยายามขึ้นมาตายบนฝั่งพร้อมๆ กัน และแม้มนุษย์จะลากตัวมันลงน้ำ เพื่อให้มันหายใจและมีชีวิตอยู่ต่อไป มันก็ไม่ยอมลงน้ำ แต่จะว่ายกลับมาทำอัตวินิบาตกรรมอยู่ดี

ในการศึกษาธรรมชาติการว่ายน้ำของวาฬ A.R. Martin แห่งหน่วยวิจัยด้าน Sea Mammalsa ของ Natural Environment Research Council ในประเทศอังกฤษได้พบว่า เวลาวาฬต้องการลอดใต้ภูเขาน้ำแข็งในทะเล มันจะว่ายดำเฉียงลงไปลึกประมาณ 1 กิโลเมตร แล้วว่ายเฉียงกลับขึ้นสู่ผิวน้ำอีกเป็นรูปตัว V Martin คิดว่า การว่ายน้ำลักษณะนี้ที่ระดับลึกมาก ทำให้มันเห็นช่องว่างระหว่างภูเขาน้ำแข็งซึ่งจะเป็นที่ที่มันสามารถโผล่ขึ้นหายใจได้ และเวลามันว่ายน้ำ มันใช้กำลังประมาณ 520 แรงม้า ด้วยความเร็ว 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เพราะเหตุว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแทบทุกชนิดอาศัยอยู่บนบก วาฬซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งหลับมีนิวาสสถานในน้ำ ดังนั้นนักชีววิทยาจึงใคร่รู้จักสัตว์ที่เป็นต้นตระกูลของวาฬ

การขุดฟอสซิลเพื่อค้นหาต้นตระกูลของวาฬ ได้ทำให้ H. Thewissen แห่ง Northern Ohio College of Medicine ในสหรัฐอเมริกา พบซากฟอสซิลดึกดำบรรพ์อายุ 49 ล้านปีของบรรพสัตว์แห่งวาฬ ในวารสาร Science ฉบับเดือนเมษายนปี 2535 เขาได้รายงานการพบที่หมู่บ้าน Ganda Kas ในหุบเขา Kala Chitta แห่งแคว้นปัญจาบของปากีสถานว่า โครงกระดูกที่มีความยาว 3 เมตร และหนัก 300 กิโลกรัมนี้ มีกระดูกขาหน้าสั้นอยู่ติดลำตัว ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Ambulocetus natans ตัวนี้เคลื่อนที่โดยใช้ขาหน้าเวลามันอยู่บนบกเพื่อยกตัวแล้วลากท้องไปตามพื้นดินเหมือนสิงโตทะเล และใช้ขาหลังที่มีขนาดใหญ่และแข็งแกร่งในการว่ายน้ำ การวิเคราะห์ทำให้ Thewissen สรุปว่า บรรพสัตว์ของวาฬเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างงุ่มง่าม และเคลื่อนที่ได้ช้าเวลาอยู่บนบก การหาอาหารได้อย่างยากลำบากขณะอยู่บนบก ทำให้มันต้องลงหาอาหารในน้ำเพราะมันว่ายน้ำได้คล่อง ดังนั้นเมื่อ 45 ล้านปีก่อนนี้ มันจึงพากันอพยพลงน้ำ แล้วดำรงชีวิตเป็นวาฬอย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่นั้นมา

การสืบค้นประวัติความเป็นมาของวาฬทำให้เรารู้เพิ่มว่าเมื่อ 65 ล้านปีก่อนนี้ โลกมีสัตว์เท้ากีบชนิดหนึ่งชื่อ Diacodexis ซึ่งได้วิวัฒนาการไปเป็น Pakicetus และได้กลายเป็น Ambulocetus ซึ่งเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก จากนั้นขาหลังของ Ambulocetus ก็หดหายไปจนเกือบหมดเป็น Dorudon ที่มีหางยาว และอาศัยอยู่ในน้ำเต็มตัว จากนั้นก็ได้วิวัฒนาการเป็น Balaena ซึ่งก็คือวาฬปัจจุบัน

วาฬเป็นสัตว์ที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์มาก มนุษย์รู้จักล่าวาฬมานานร่วม 800 ปีแล้ว เพราะพบว่าไขวาฬสามารถนำมาทำน้ำมันเชื้อเพลิง สบู่ ครีมล้างหน้า เนยเทียม และใช้หยอดเป็นน้ำมันเครื่องได้ ส่วนเนื้อวาฬนั้นก็นับเป็นอาหารที่โอชะสำหรับชาวญี่ปุ่น และสาร ambergris ที่พบในลำไส้ของวาฬหัวทุย เป็นสารประกอบที่ใช้ในการทำน้ำหอม เพราะประกอบด้วย sodium chloride, lime phosphate, alkaloids acid และ ambrin ซึ่งเวลาได้รับความร้อนจะอ่อนตัว และหาอุณหภูมิสูงจะระเหยและมีกลิ่นหอม

ทุกวันนี้ อุตสาหกรรมล่าวาฬเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่ทำกันมากในนอร์เวย์ ญี่ปุ่น และไอซ์แลนด์ จนทำให้วาฬบางพันธุ์เกือบสูญพันธุ์ เพราะถูกมนุษย์ล่าเป็นอาหาร ดังนั้นในปี 2509 องค์การ International Whaling Commission (IWC) จึงได้ถือกำเนิดเพื่อควบคุมการล่าวาฬ องค์กรนี้ได้ออกกฎหมายควบคุมการจับวาฬที่มีขนาดไม่เหมาะสม และห้ามจับวาฬในขณะที่มันมีท้อง แต่ถ้าจะต้องล่า ก็ให้ล่าเฉพาะวาฬที่มีไขมันมากเท่านั้น

ในการประชุมประจำปีของ IWC ที่เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เมื่อเดือนมิถุนายน 2549 ที่ประชุมได้พิจารณามาตรการลดจำนวนวาฬที่ตายเพราะติดแห และที่ได้รับบาดเจ็บเพราะถูกเรือพุ่งชนอย่างไม่ตั้งใจ รวมทั้งการลดปริมาณมลพิษในทะเลที่วาฬอาศัย และเสนอมาตรการตรวจ DNA ของวาฬทุกตัวที่จับได้ เพื่อป้องกันการล่าวาฬบางพันธุ์เป็นอาหารซึ่งผิดกฎหมายระหว่างประเทศ และเพื่อให้มาตรการตรวจ DNA ได้ผล ที่ประชุมได้เสนอให้เรือล่าวาฬทุกลำมีผู้เชี่ยวชาญด้านDNA ประจำ

แต่ก็ดูเหมือนว่า IWC จะเป็นเสือกระดาษ เพราะประเทศสมาชิกหลายประเทศได้ตัดสินใจที่จะมีองค์กรที่เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นของตนเอง และบางชาติก็อาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย ซึ่งประกาศจะล่าจับวาฬอีกในเดือนสิงหาคมและกันยายนศกนี้ โดยอ้างว่าเพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และจะเริ่มล่าวาฬเพื่อการค้าในอีกสามปีข้างหน้า เหตุผลหนึ่งที่รัฐบาลไอซ์แลนด์อ้างคือ ณ วันนี้ ทะเลรอบเกาะไอซ์แลนด์มีวาฬจำนวนมากจนทำให้ปลาชนิดอื่นจำนวนมากถูกวาฬจับกินเป็นอาหาร ซึ่งมีผลทำให้ชาวประมงไอซ์แลนด์มีรายได้ลดลงมาก

ในการล่าวาฬคราวนี้ ชาวประมงไอซ์แลนด์จะล่าวาฬพันธุ์ minke 100 ตัว พันธุ์ fin 100 ตัว และพันธุ์ sei 50 ตัว โดยใช้เวลาสองปี ทันทีที่รู้ข่าวนี้ องค์การกองทุนเพื่อธรรมชาติโลก (World Wide Fund for Nature) ได้ออกมาประท้วงรัฐบาลไอซ์แลนด์ที่อ้างเรื่องการวิจัยวิทยาศาสตร์มาบังหน้า และเรียกร้องให้ระงับการล่าวาฬเพื่อปกป้องสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ชนิดนี้

ในวารสาร Science ฉบับวันที่ 25 กรกฎาคม 2550 Joe Roman แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในสหรัฐอเมริกา ได้รายงานว่า ในการใช้ mitochondrial DNA ตรวจสอบประวัติความเป็นมาของปลาวาฬ เขาและคณะได้ตรวจพบว่า ในอดีตเมื่อ 200 ปีก่อน โลกเคยมีปลาวาฬหลังโหนกจำนวนมากกว่าที่เคยคิดถึง 10 เท่า (คือประมาณ 240,000 ตัว) และนั่นก็หมายความว่า ที่ผ่านมามนุษย์ได้ล่าวาฬไปมากกว่าที่คิด เพราะ ณ วันนี้ เรามีวาฬหลังโหนกเหลืออยู่เพียงหมื่นตัวเท่านั้นเอง

แต่ก็มีนักวิจัยอีกหลายคนที่ไม่ยอมรับการวิเคราะห์นี้ เพราะเท่าที่ปรากฏ วิธีวิเคราะห์มีความผิดพลาด และไม่มีใครรู้จำนวนวาฬที่แท้จริงว่ามีมากเพียงใด อีกทั้งวิธีการนับวาฬนั้นก็อาจผิดพลาด นอกจากนี้ความต้องการเนื้อวาฬของตลาดโลกก็ขึ้นๆ ลงๆ และเทคนิคการล่าวาฬก็เปลี่ยนตามกาลเวลา ปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีส่วนทำให้จำนวนประชากรวาฬไม่แน่นอน จนใครก็ทำนายไม่ได้แม่นยำ

ดังนั้นคนเหล่านี้จึงคิดว่าวาฬไม่ใกล้สูญพันธุ์จริง ปัญหาวาฬจึงนับว่ายิ่งใหญ่เท่าขนาดตัวมันครับ

สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

จันทรุปราคา

เตรียมชม “จันทรุปราคาเต็มดวง” ครั้งแรกในรอบ 4 ปี
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 มิถุนายน 2554 00:49 น.



ดวงจันทร์จะเปลี่ยนเป็นสีแดงอิฐเมื่อจันทรุปราคาเต็มดวง (สดร.)
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ภาพดวงจันทร์ระหว่างเกิดจันทรุปราคาตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดปรากฏการณ์ (สดร.)

ภาพปรากฏดวงจันทร์ในเงามืด (เทาเข้ม) และเงามัว (เทาอ่อน) ระหว่างเกิดจันทรุปราคา (สดร.)

ตำแหน่งดวงจันทร์บนท้องฟ้าขณะเกิดจันทรุปราคา

ภาพจำลองขณะดาวฤกษ์ 51 โอฟีอุชี ถูกดวงจันทร์บัง โดยผู้สังเกตใน จ.เชียงใหม่และกรุงเทพฯ จะเห็นปรากฏการต่างกัน (สดร.)

ตารางแสดงเวลาเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาบังดาวฤกษ์ (สดร.)

ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา


ย่ำรุ่งวันที่ 16 มิ.ย.นี้จะเป็นครั้งแรกที่คนไทยจะได้ชมปรากฏการณ์ “จันทรุปราคาเต็มดวง” ในรอบ 4 ปี และยังมาพร้อมปรากฏการณ์พิเศษอย่างการบังดาวฤกษ์ระหว่างเกิดคราสซึ่งเกิดขึ้นได้น้อยมาก อีกทั้งปรากฏการณ์นี้ยังเกิดขึ้นขณะที่ดวงจันทร์กำลังเคลื่อนผ่านใจกลางทางช้างเผือกด้วย

จันทรุปราคาเต็มดวงในวันที่ 16 มิ.ย.นี้ เป็นปรากฏการณ์ที่ ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) กล่าวว่ามีความพิเศษเพราะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดคราสเต็มดวงนานเกิน 100 นาที และระหว่างเกิดคราสดวงจันทร์ยังเคลื่อนผ่านใจกลางทางช้างเผือกด้วย อีกทั้งยังเป็นปรากฏการณ์จันทรุปราคาครั้งแรกในรอบ 4 ปีที่คนไทยจะได้ชมอีกด้วย โดยปีนี้มีปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงให้ชมถึง 2 ครั้ง ซึ่งครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในวันที่ 10 ธ.ค.

เตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่คืนที่ 15 มิ.ย.
จากข้อมูลเอกสารปรากฏการณ์จันทรุปราคา (Lunar Eclipse 2011) สดร. ในวันที่ 16 มิ.ย.นี้ดวงจันทร์จะเริ่มเข้าสู่เงามัวของโลกตั้งแต่ 00.26 น. หรือหลังจากผ่านเที่ยงคืนวันที่ 15 มิ.ย. แต่ในช่วงดังกล่าวซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์จันทรุปราคานั้น เป็นช่วงที่เราสังเกตได้ยาก โดยเราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเมื่อดวงจันทร์เริ่มสัมผัสเงามืดของโลก เวลา 01.25 น.ซึ่งดวงจันทร์จะเริ่มแหว่ง

เวลา 02.25 น.เริ่มเกิดอุปราคาเต็มดวงเมื่อขอบดวงจันทร์ทั้งสองด้านผ่านเข้าไปในเงามืดของโลก และในเวลา03.14 น.ดวงจันทร์จะเข้าไปอยู่กึ่งกลางเงามืดของโลก เรียกเหตุการณ์ดังกล่าวว่า กึ่งกลางอุปราคา (Greatest eclipse) เรายังคงเห็นจันทรุปราคาเต็มดวงไปจนถึงเวลา 04.04 น.ซึ่งดวงจันทร์เริ่มออกจากเงามืด และดวงจันทร์จะออกจากเงามืดทั้งหมดเวลา 05.04 น. และสิ้นปรากฏการณ์จันทรุปราคาเวลา 06.02 น.

5 ลำดับความสว่างจันทรุปราคาเต็มดวง
ทั้งนี้ ระหว่างเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงเราจะเห็นดวงจันทร์เปลี่ยนเป็นสีแดงอิฐ หรือบางอาจจะเรียกว่าพระจันทร์สีเลือด สำหรับสาเหตุที่จันทร์เต็มดวงไม่มืดสนิทนี้ หาคำตอบได้จากบทความ “รู้ไหมว่า? ทำไม “จันทรุปราคาเต็มดวง” จึงเป็นสีแดงอิฐ” โดยความสว่างของจันทรุปราคาตามมาตราดังชง (Danjon Scale) ที่เสนอโดย อังเดร หลุยส์ ดังชง (Andre-Louis Danjon) นักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ใช้สัญลักษณ์ L แทน ความสว่าง (Luminosities) แบ่งได้เป็น 5 ระดับ

เมื่อ L = 0 แสดงถึงจันทรุปราคาที่มืดมากจนเกือบมองไม่เห็นดวงจันทร์ , L = 1 แสดงถึงจันทรุปราคามีความมืดในระดับที่เห็นเป็นสีเทาหรือน้ำตาลอ่อน ,L = 2 แสดงถึงจันทรุปราคาที่เป็นสีแดงเข้มหรือสีสนิมคราส , L = 3 แสดงถึงจันทรุปราคาที่เป็นสีแดงอิฐ และ L = 4 แสดงถึงจันทรุปราคาที่สว่างมาก มีทองแดงหรือสีส้ม

พิเศษ! เกิดจันทร์บังดาวฤกษ์ระหว่างจันทรุปราคา
นอกจากจันทรุปราคาครั้งนี้จะเกิดคราสนานชั่วโมงกว่าๆ แล้ว ยังเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาบังดาวฤกษ์ เนื่องจากดวงจันทร์เคลื่อนผ่านทางใต้ของกลุ่มดาวคนแบกงู (Ophiuchus) แล้วเคลื่อนไปบังดาวฤกษ์ 51 โอฟีอุชี (Ophiuchi) หรือ 51 คนแบกงู พอดี โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงใกล้ๆ อุปราคาเต็มดวง ซึ่งผู้สังเกตใน จ.ชุมพรขึ้นไปจะเห็นปรากฏการณ์นี้ได้ และตรวจสอบเวลาได้ในตารางการเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาบังดาวฤกษ์ 51 โอฟีอุชี

“ตามเวลา ณ เชียงใหม่ ดาวฤกษ์ 51 โอฟีอุชี เริ่มหายเข้าไปหลังดวงจันทร์สีแดงอิฐในเวลา 02.08 น. แล้วจะโผล่พ้นดวงจันทร์ออกมาในเวลา 02.12 น. ปรากฏการณ์ดังกล่าวนั้นจะเห็นได้ตั้งแต่ จ.เชียงใหม่ ลงไปถึง จ.ชุมพร ส่วนจังหวัดที่อยู่ใต้ลงไปจะเห็นเพียงจันทรุปราคาเฉียดดาวฤกษ์เท่านั้น” ดร.ศรัณย์ ยกตัวอย่างการเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคราบังดาวฤกษ์ที่ จ.เชียงใหม่

ทั้งนี้ ดาว 51 โอฟีอุชีนั้นอยู่ในตำแหน่ง “หัวเข่า” ของกลุ่มดาวคนแบกงู เป็นดาวฤกษ์สีขาวขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ และอยู่ห่างจากโลกประมาณ 426.35 ปีแสง สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่าแต่ไม่ชัดนัก ซึ่งรองผู้อำนวยการ สดร.ระบุว่าปรากฏการณ์บังดาวฤกษ์นั้นเกิดขึ้นเป็นปกติบนท้องฟ้า แต่น้อยครั้งที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

สดร.จัดเต็มถ่ายทอดสดปรากฏการณ์ 3 ภาค เหนือ-กลาง-ใต้
สำหรับการเกิดปรากฏการณ์จันทรปุราคาครั้งนี้ ทาง สดร.ได้ร่วมมือกับเครือข่าวดาราศาสตร์ใน จ.ฉะเชิงเทราและ จ.สงขลา จัดกิจกรรมและตั้งจุดสังเกตปรากฏการณ์ 3 แห่ง คือ 1.บริเวณดาดฟ้า ชั้น 3 สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ จ.เชียงใหม่ 2.หอดูดาวบัณฑิต จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งทางหอดูดาวยังได้ร่วมมือกับ ร.ร.เบญจมราชรังสฤษฏิ์, ร.ร.ไผ่แก้ววิทยา จ.ฉะเชิงเทรา และ ร.ร.ชลราษฎรอำรุง จ.ชลบุรี จัดกิจกรรมและตั้งกล้องโทรทรรศน์สำหรับสังเกตปรากฏการณ์ และ 3.มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา จ.สงขลา
ทั้งนี้ ติดตามการถ่ายทอดสดปรากฏการณ์จันทรุปราคาผ่านอินเทอร์เน็ตจากจุดสังเกตุทั้ง 3 แห่งได้ที่ http://118.174.34.82/lunar/

เกิดจันทรุปราคาได้อย่างไร?
องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดจันทรุปราคาคือ “เงาของโลก” ซึ่งเมื่อดวงอาทิตย์ส่องมายังโลกที่เป็นวัตถุทึบแสง จะทำให้เกิดเงาทอดไปในอวกาศ และเมื่อดวงจันทร์ผ่านเข้าไปในเงาโลกเราจึงได้เห็นปรากฏการณ์อุปราคาดังกล่าว โดยเงาโลกมีส่วน 2 ส่วน คือ เงามืด (Umbra Shadow) ซึ่งเมื่อลากเส้นสัมผัสจากดวงอาทิตย์ผ่านโลกจะได้ลักษณะเงาทอดเป็นกรวยแหลม และเงามัว (Penumbra Shadow) ซึ่งเมื่อลากเส้นสัมผัสโดยให้เกิดจุดตัดระหว่างโลกและดวงอาทิตย์จะได้ลักษณะเงาถ่างออก

ข้อมูลจากเอกสารจันทรุปราคาของ สดร.ระบุอีกว่า ในแต่ละปีจะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงประมาณ 1-2 ครั้ง และในปีที่ดวงจันทร์เต็มดวงถึง 13 ครั้ง ซึ่งมีบางเดือนที่เกิดจันทร์เต็มดวงถึง 2 ครั้งและเรียกปรากฏการณ์ในเดือนนั้นว่า “บลูมูน” (Blue Moon) จะเกิดจันทรุปราคาสูงสุดถึง 4 ครั้ง แต่ในปีดังกล่าวจะไม่เกิดจันทรุปราคาเต็มดวง

รู้จักจันทรุปราคาทุกรูปแบบ
จันทรุปราคาแบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ 1.จันทรุปราคาเต็มดวง (Total Lunar Eclipse) คือ ปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์เคลื่อนผ่านเข้าไปในเงามืดของโลกทั้งดวง ซึ่งดวงจันทร์จะค่อยมืดหายไปทั้งดวงแล้วเปลี่ยนเป็นสีแดงอิฐเมื่อคราสบังเต็มดวง 2.จันทรุปราคาบางส่วน (Partial Lunar Eclipse) คือปราฏการณ์ที่ดวงจันทร์เคลื่อนผ่านเงามืดและเงามัว โดยเห็นดวงจันทร์มืดปเพียงบางส่วน เท่านั้น และ 3.จันทรุปราคาเงามัว (Penumbra Lunar Eclipse) เป็นปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์ผ่านเข้าไปในเขตเงามัวของโลกโดยไม่ผ่านเงามืด ซึ่งเรายังคงเห็นดวงจันทร์เต็มดวง เนื่องจากตาของเราไม่สามารถแยกแยะความความสว่างที่ลดลงไปเพียงเล็กน้อยได้

“อย่างไรก็ดี การชมปรากฏการณ์นี้ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ หากท้องฟ้าไม่โปร่ง มีเมฆมากก็จะไม่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งหากพลาดการชมปรากฎการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงในวันที่ 16 มิ.ย.สามารถรอชมได้อีกครั้งในวันที่ 10 ธ.ค.นี้” ดร.ศรัณย์ กล่าว

จันทรุปราคา

เตรียมชม “จันทรุปราคาเต็มดวง” ครั้งแรกในรอบ 4 ปี idth="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0">
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 มิถุนายน 2554 00:49 น.


ดวงจันทร์จะเปลี่ยนเป็นสีแดงอิฐเมื่อจันทรุปราคาเต็มดวง (สดร.)

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ภาพดวงจันทร์ระหว่างเกิดจันทรุปราคาตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดปรากฏการณ์ (สดร.)

ภาพปรากฏดวงจันทร์ในเงามืด (เทาเข้ม) และเงามัว (เทาอ่อน) ระหว่างเกิดจันทรุปราคา (สดร.)

ตำแหน่งดวงจันทร์บนท้องฟ้าขณะเกิดจันทรุปราคา

ภาพจำลองขณะดาวฤกษ์ 51 โอฟีอุชี ถูกดวงจันทร์บัง โดยผู้สังเกตใน จ.เชียงใหม่และกรุงเทพฯ จะเห็นปรากฏการต่างกัน (สดร.)

ตารางแสดงเวลาเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาบังดาวฤกษ์ (สดร.)

ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา

ย่ำรุ่งวันที่ 16 มิ.ย.นี้จะเป็นครั้งแรกที่คนไทยจะได้ชมปรากฏการณ์ “จันทรุปราคาเต็มดวง” ในรอบ 4 ปี และยังมาพร้อมปรากฏการณ์พิเศษอย่างการบังดาวฤกษ์ระหว่างเกิดคราสซึ่งเกิด ขึ้นได้น้อยมาก อีกทั้งปรากฏการณ์นี้ยังเกิดขึ้นขณะที่ดวงจันทร์กำลังเคลื่อนผ่านใจกลางทาง ช้างเผือกด้วย

จันทรุปราคาเต็มดวงในวันที่ 16 มิ.ย.นี้ เป็นปรากฏการณ์ที่ ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) กล่าวว่ามีความพิเศษเพราะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดคราสเต็มดวงนานเกิน 100 นาที และระหว่างเกิดคราสดวงจันทร์ยังเคลื่อนผ่านใจกลางทางช้างเผือกด้วย อีกทั้งยังเป็นปรากฏการณ์จันทรุปราคาครั้งแรกในรอบ 4 ปีที่คนไทยจะได้ชมอีกด้วย โดยปีนี้มีปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงให้ชมถึง 2 ครั้ง ซึ่งครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในวันที่ 10 ธ.ค.

เตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่คืนที่ 15 มิ.ย.
จากข้อมูลเอกสารปรากฏการณ์จันทรุปราคา (Lunar Eclipse 2011) สดร. ในวันที่ 16 มิ.ย.นี้ดวงจันทร์จะเริ่มเข้าสู่เงามัวของโลกตั้งแต่ 00.26 น. หรือหลังจากผ่านเที่ยงคืนวันที่ 15 มิ.ย. แต่ในช่วงดังกล่าวซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์จันทรุปราคานั้น เป็นช่วงที่เราสังเกตได้ยาก โดยเราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเมื่อดวงจันทร์เริ่มสัมผัสเงามืดของโลก เวลา 01.25 น.ซึ่งดวงจันทร์จะเริ่มแหว่ง

เวลา 02.25 น.เริ่มเกิดอุปราคาเต็มดวงเมื่อขอบดวงจันทร์ทั้งสองด้านผ่านเข้าไปในเงามืด ของโลก และในเวลา03.14 น.ดวงจันทร์จะเข้าไปอยู่กึ่งกลางเงามืดของโลก เรียกเหตุการณ์ดังกล่าวว่า กึ่งกลางอุปราคา (Greatest eclipse) เรายังคงเห็นจันทรุปราคาเต็มดวงไปจนถึงเวลา 04.04 น.ซึ่งดวงจันทร์เริ่มออกจากเงามืด และดวงจันทร์จะออกจากเงามืดทั้งหมดเวลา 05.04 น. และสิ้นปรากฏการณ์จันทรุปราคาเวลา 06.02 น.

5 ลำดับความสว่างจันทรุปราคาเต็มดวง
ทั้งนี้ ระหว่างเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงเราจะเห็นดวงจันทร์เปลี่ยนเป็นสีแดงอิฐ หรือบางอาจจะเรียกว่าพระจันทร์สีเลือด สำหรับสาเหตุที่จันทร์เต็มดวงไม่มืดสนิทนี้ หาคำตอบได้จากบทความ “รู้ไหมว่า? ทำไม “จันทรุปราคาเต็มดวง” จึงเป็นสีแดงอิฐ” โดย ความสว่างของจันทรุปราคาตามมาตราดังชง (Danjon Scale) ที่เสนอโดย อังเดร หลุยส์ ดังชง (Andre-Louis Danjon) นักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ใช้สัญลักษณ์ L แทน ความสว่าง (Luminosities) แบ่งได้เป็น 5 ระดับ

เมื่อ L = 0 แสดงถึงจันทรุปราคาที่มืดมากจนเกือบมองไม่เห็นดวงจันทร์ , L = 1 แสดงถึงจันทรุปราคามีความมืดในระดับที่เห็นเป็นสีเทาหรือน้ำตาลอ่อน ,L = 2 แสดงถึงจันทรุปราคาที่เป็นสีแดงเข้มหรือสีสนิมคราส , L = 3 แสดงถึงจันทรุปราคาที่เป็นสีแดงอิฐ และ L = 4 แสดงถึงจันทรุปราคาที่สว่างมาก มีทองแดงหรือสีส้ม

พิเศษ! เกิดจันทร์บังดาวฤกษ์ระหว่างจันทรุปราคา
นอกจากจันทรุปราคาครั้งนี้จะเกิดคราสนานชั่วโมงกว่าๆ แล้ว ยังเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาบังดาวฤกษ์ เนื่องจากดวงจันทร์เคลื่อนผ่านทางใต้ของกลุ่มดาวคนแบกงู (Ophiuchus) แล้วเคลื่อนไปบังดาวฤกษ์ 51 โอฟีอุชี (Ophiuchi) หรือ 51 คนแบกงู พอดี โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงใกล้ๆ อุปราคาเต็มดวง ซึ่งผู้สังเกตใน จ.ชุมพรขึ้นไปจะเห็นปรากฏการณ์นี้ได้ และตรวจสอบเวลาได้ในตารางการเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาบังดาวฤกษ์ 51 โอฟีอุชี

“ตามเวลา ณ เชียงใหม่ ดาวฤกษ์ 51 โอฟีอุชี เริ่มหายเข้าไปหลังดวงจันทร์สีแดงอิฐในเวลา 02.08 น. แล้วจะโผล่พ้นดวงจันทร์ออกมาในเวลา 02.12 น. ปรากฏการณ์ดังกล่าวนั้นจะเห็นได้ตั้งแต่ จ.เชียงใหม่ ลงไปถึง จ.ชุมพร ส่วนจังหวัดที่อยู่ใต้ลงไปจะเห็นเพียงจันทรุปราคาเฉียดดาวฤกษ์เท่านั้น” ดร.ศรัณย์ ยกตัวอย่างการเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคราบังดาวฤกษ์ที่ จ.เชียงใหม่

ทั้งนี้ ดาว 51 โอฟีอุชีนั้นอยู่ในตำแหน่ง “หัวเข่า” ของกลุ่มดาวคนแบกงู เป็นดาวฤกษ์สีขาวขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ และอยู่ห่างจากโลกประมาณ 426.35 ปีแสง สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่าแต่ไม่ชัดนัก ซึ่งรองผู้อำนวยการ สดร.ระบุว่าปรากฏการณ์บังดาวฤกษ์นั้นเกิดขึ้นเป็นปกติบนท้องฟ้า แต่น้อยครั้งที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

สดร.จัดเต็มถ่ายทอดสดปรากฏการณ์ 3 ภาค เหนือ-กลาง-ใต้
สำหรับการเกิดปรากฏการณ์จันทรปุราคาครั้งนี้ ทาง สดร.ได้ร่วมมือกับเครือข่าวดาราศาสตร์ใน จ.ฉะเชิงเทราและ จ.สงขลา จัดกิจกรรมและตั้งจุดสังเกตปรากฏการณ์ 3 แห่ง คือ 1.บริเวณดาดฟ้า ชั้น 3 สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ จ.เชียงใหม่ 2.หอดูดาวบัณฑิต จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งทางหอดูดาวยังได้ร่วมมือกับ ร.ร.เบญจมราชรังสฤษฏิ์, ร.ร.ไผ่แก้ววิทยา จ.ฉะเชิงเทรา และ ร.ร.ชลราษฎรอำรุง จ.ชลบุรี จัดกิจกรรมและตั้งกล้องโทรทรรศน์สำหรับสังเกตปรากฏการณ์ และ 3.มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา จ.สงขลา
ทั้งนี้ ติดตามการถ่ายทอดสดปรากฏการณ์จันทรุปราคาผ่านอินเทอร์เน็ตจากจุดสังเกตุทั้ง 3 แห่งได้ที่ http://118.174.34.82/lunar/

เกิดจันทรุปราคาได้อย่างไร?
องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดจันทรุปราคาคือ “เงาของโลก” ซึ่งเมื่อดวงอาทิตย์ส่องมายังโลกที่เป็นวัตถุทึบแสง จะทำให้เกิดเงาทอดไปในอวกาศ และเมื่อดวงจันทร์ผ่านเข้าไปในเงาโลกเราจึงได้เห็นปรากฏการณ์อุปราคาดัง กล่าว โดยเงาโลกมีส่วน 2 ส่วน คือ เงามืด (Umbra Shadow) ซึ่งเมื่อลากเส้นสัมผัสจากดวงอาทิตย์ผ่านโลกจะได้ลักษณะเงาทอดเป็นกรวยแหลม และเงามัว (Penumbra Shadow) ซึ่งเมื่อลากเส้นสัมผัสโดยให้เกิดจุดตัดระหว่างโลกและดวงอาทิตย์จะได้ลักษณะ เงาถ่างออก

ข้อมูลจากเอกสารจันทรุปราคาของ สดร.ระบุอีกว่า ในแต่ละปีจะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงประมาณ 1-2 ครั้ง และในปีที่ดวงจันทร์เต็มดวงถึง 13 ครั้ง ซึ่งมีบางเดือนที่เกิดจันทร์เต็มดวงถึง 2 ครั้งและเรียกปรากฏการณ์ในเดือนนั้นว่า “บลูมูน” (Blue Moon) จะเกิดจันทรุปราคาสูงสุดถึง 4 ครั้ง แต่ในปีดังกล่าวจะไม่เกิดจันทรุปราคาเต็มดวง

รู้จักจันทรุปราคาทุกรูปแบบ
จันทรุปราคาแบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ 1.จันทรุปราคาเต็มดวง (Total Lunar Eclipse) คือ ปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์เคลื่อนผ่านเข้าไปในเงามืดของโลกทั้งดวง ซึ่งดวงจันทร์จะค่อยมืดหายไปทั้งดวงแล้วเปลี่ยนเป็นสีแดงอิฐเมื่อคราสบัง เต็มดวง 2.จันทรุปราคาบางส่วน (Partial Lunar Eclipse) คือปราฏการณ์ที่ดวงจันทร์เคลื่อนผ่านเงามืดและเงามัว โดยเห็นดวงจันทร์มืดปเพียงบางส่วน เท่านั้น และ 3.จันทรุปราคาเงามัว (Penumbra Lunar Eclipse) เป็นปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์ผ่านเข้าไปในเขตเงามัวของโลกโดยไม่ผ่านเงามืด ซึ่งเรายังคงเห็นดวงจันทร์เต็มดวง เนื่องจากตาของเราไม่สามารถแยกแยะความความสว่างที่ลดลงไปเพียงเล็กน้อยได้

“อย่างไรก็ดี การชมปรากฏการณ์นี้ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ หากท้องฟ้าไม่โปร่ง มีเมฆมากก็จะไม่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งหากพลาดการชมปรากฎการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงในวันที่ 16 มิ.ย.สามารถรอชมได้อีกครั้งในวันที่ 10 ธ.ค.นี้” ดร.ศรัณย์ กล่าว

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

ฝนฟ้าคะนอง

ทุกชั่วโมงทั่วโลกเกิด “ฝนฟ้าคะนอง” ถึง 760 ครั้ง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 เมษายน 2554 22:34 น.
นักวิทยาศาสตร์คำนวณพบทุก ชั่วโมงทั่วโลก เกิด “ฝนฟ้าคะนอง” มากถึง 760 ครั้งเลยทีเดียว แต่ข้อมูลใหม่ที่เปิดเผยในที่ประชุมของนักภูมิศาสตร์นี้ยังน้อยกว่าข้อมูล ที่เชื่อถือมาเกือบศตวรรษอยู่มากทีเดียว

ข้อมูลการนับจำนวนครั้งเกิดพายุฝนฟ้าคะนองนี้ เป็นงานวิจัยใหม่ ที่อาศัยความร่วมมือของเครือข่ายสถานีตรวจสภาพอากาศทั่วโลก ที่สามารถวัดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic pulse) ที่เกิดจากฟ้าผ่าที่รุนแรง และได้เปิดเผยข้อมูลนี้ในการประชุมของสหภาพภูมิศาสตร์ยุโรป (European Geosciences Union) ในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย

จากการนับจำนวนพายุฝนฟ้าคะนองพบว่าทุกๆ ชั่วโมง ทั่วโลกเกิดฝนฟ้าคะนองถึง 760 ครั้ง แต่บีบีซีนิวส์รายงานว่าจำนวนดังกล่าว น้อยกว่าจำนวนที่เคยนับและใช้กันมาเกือบศตวรรษ และงานวิจัยนี้ยังยืนยันว่าพายุฝนฟ้าคะนองนั้น เป็นปรากฏการณ์เขตร้อนที่สำคัญ

อีกทั้งลุ่มแม่น้ำคองโก (Congo) เป็นจุดที่มีความร้อนเข้มข้น (hotspot) ของโลก และพายุฝนฟ้าคะนอง ยังช่วยในการติดตามเส้นทางแสงอาทิตย์บนโลก ที่ทำให้เกิดการพาความร้อนในอากาศ

“อาจมีสถานีตรวจวัดอากาศ ที่พลาดการตรวจจับสัญญาณฟ้าผ่าไปบ้าง แต่เราเชื่อว่าสามารถจับสัญญาณใหญ่ๆ ได้ ซึ่งมากพอที่จะบอกเราได้ว่า เกิดพายุฝนฟ้าคะนองที่ไหน ผ่านการทำงานเป็นเครือข่ายทั่วโลก” คอลิน ไพร์ซ (Colin Price) หัวหน้าภาควิชาธรณีฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์ระหว่างดวงดาว จากมหาวิทยาลัยเทล อาวีฟ (Tel Aviv University) ในอิสราเอลกล่าว

การศึกษาครั้งนี้ ทำให้นักวิจัยได้แก้ไขจำนวนการเกิดพายุฝนฟ้าคะนองที่ใช้เป็นมาตรฐานมา ตั้งแต่ช่วงปี 1920 ซึ่งคาดว่า ครั้งแรกที่มีความพยายามในการประมาณจำนวนฝนฟ้าคะนองคือในปี 1925 โดย ซีอีพี บรูคส์ (CEP Brooks) นักภูมิอากาศวิทยาอังกฤษ ซึ่งในช่วงเวลานั้น สถานีตรวจวัดสภาพอากาศจะบันทึกวันที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนองในระยะใกล้ๆ เท่าที่ทำได้

ผลการคำนวณของบรูคส์ออกมาว่า โดยเฉลี่ยแล้วทั่วโลกเกิดฝนฟ้าคะนองประมาณ 1,800 ครั้งต่อชั่วโมง หากแต่งานวิจัยของเขานั้น มีข้อมูลที่ยังไม่สมบูรณ์ และยังสรุปอย่างผิดพลาด ซึ่งข้อสรุปหนึ่งที่ผิดพลาดคือพายุฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นเท่าๆ กันบนแผ่นดินและในทะเล ทว่าอันที่จริงแล้วพายุฝนฟ้าคะนองใหญ่ๆ เกิดขึ้นบนโลก

ในช่วงทศวรรษ 1950 โอเอช กิช (OH Gish) และ จีอาร์ เวท (GR Wait) ได้โดยนำเครื่องบินขึ้นไปเหนือฝนฟ้าคะนองใหญ่ๆ 21 ครั้ง พร้อมทั้งนำอุปกรณ์ขึ้นไปตรวจวัดความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้าในอากาศ เมื่อขยายผลไปส่วนอื่นๆ ของโลก พวกเขาประเมินได้ว่า มีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นทั่วโลกปีละ 2,000-3,600 ครั้ง

ทุกวันนี้ แม้ว่าดาวเทียมจะเข้ามาบทบาทมากขึ้น แต่ไม่ได้ตรวจวัดสภาพอากาศทั้งโลก สำหรับงานวิจัยล่าสุดนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้เทคนิคที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยอาศัยข้อมูลจากสถานีตรวจวัดสภาพอากาศทั่วโลกมากกว่า 40 แห่ง เพื่อตรวจวัดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากการเกิดฟ้าผ่าครั้งใหญ่ๆ

จากการประสานงานสถานีตรวจวัดแบบสามเหลี่ยม ทำให้เครือข่ายค้นหาตำแหน่งเกิดฟ้าแลบทั่วโลก (World Wide Lightning Location Network) จะสามารถหาจุดเกิดฟ้าผ่าได้ และเมื่อจัดกลุ่มให้ปรากฏการณ์ฟ้าแลบเหล่านั้น อัลกอริทึมของคอมพิวเตอร์ที่ทีมวิจัย จะคำนวณได้ว่าเป็นปรากฏการณ์จากพายุฝนฟ้าคะนองใด

แต่ละทวีปจะเกิดฝนฟ้าคะนองสูงสุดในช่วงเวลาระหว่างวัน และในภาพรวมทั่วโลก เกิดสูงสุดในช่วงเที่ยงของเวลามาตรฐานกรีนิช (GMT) โดยฝนฟ้าคะนองจะรวมกลุ่มในศูนย์กลางทวีปของเขตร้อน และเห็นได้ชัดในลุ่มน้ำคองโก

“นั่นอาจเป็นเพราะว่าแถบนั้นแห้งแล้งกว่าลุ่มน้ำอะเมซอน และฝนฟ้าคะนองดูจะก่อตัวได้ง่าย ในภาวะเงื่อนไขที่แห้งแล้ง” ดร.ไพร์ซอธิบายแก่บีบีซีนิวส์

ตอนนี้ทางเครือข่ายกำลังหาวิธีที่จะเพิ่มจุดสังเกตใหม่ เพื่อแก้ไขผลลัพธ์ที่ได้ให้ดีขึ้น และเร็วๆ นี้ได้เริ่มต้นโครงการที่จะตรวจวัดการปะทุของภูเขาไฟ ผ่านการตรวจวัดแสงแวบของฟ้าผ่า ที่เกิดขึ้นระหว่างการพ่นเถ้าถ่านร้อนออกมา

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

ระดับความรุนแรงเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์

7 ระดับความรุนแรงเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 เมษายน 2554 16:41 น.

แผ่นดินไหววัดความเสียหาย ได้เป็น “ริกเตอร์” ในกรณีเหตุการณ์นิวเคลียร์ก็มีการวัดระดับความเสียหายไว้เช่นกัน โดยความรุนแรงสูงสุดคือระดับ 7 ซึ่งนอกจากเหตุการณ์ร้ายแรงที่ “เชอร์โนบิล” ญี่ปุ่นยังยกระดับความรุนแรงที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะให้เป็น "ระดับสูงสุด" นี้ด้วย

ระดับความรุนแรงของเหตุการณ์นิวเคลียร์นั้น วัดตามมาตราระหว่างประเทศว่าด้วยเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์ (INES: International Nuclear Event Scale) ซึ่งแบ่งออกเป็น 7 ระดับ

ข้อมูลจากเว็บไซต์ทบวงการพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (ไอเออีเอ) และสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (สทน.) แจกแจงถึงระดับความรุนแรงไว้ดังนี้ ระดับ 1-3 จัดเป็นอุบัติการณ์ (incident) และระดับ 4-7 จัดเป็นอุบัติเหตุ (accident) ส่วนระดับ 0 ลงไปไม่มีนัยที่สำคัญ (no safety significance)

มาตรวัดระดับความรุนแรงนี้ ใช้สำหรับประเมินเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์ที่ใช้ทั่วไป และเป็นเครื่องมือที่ใช้สื่อสารกับประชาชน ในเกณฑ์ที่สอดคล้องกับประเด็นความปลอดภัยของรายงานอุบัติการณ์และอุบัติเหตุ ทางนิวเคลียร์ โดยใช้กับเหตุการณ์ใดๆ ก็ตาม ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานทางด้านนิวเคลียร์ ตั้งแต่การขนส่ง การจัดเก็บ และการใช้ประโยชน์จากสารรังสีและแหล่งกำเนิดรังสี แต่มาตรวัดนี้ไม่ใช้กับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ อย่างเช่นการแผ่รังสีของก๊าซเรดอน (radon) เป็นต้น

จากการจัดระดับความรุนแรงตามมาตราดังกล่าว ทำให้เหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลระเบิด เป็นความรุนแรงที่สุดตามมาตรานี้ และล่าสุดสถานการณ์ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะ ไดอิจิ (Fukuchi Daiichi) ได้ยกขึ้นเป็นระดับ 7 เทียบเท่าอุบัติเหตุนิวเคลียร์ร้ายแรงเมื่อ 25 ปีก่อน

ส่วนเหตุการณ์ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทรีไมล์ไอส์แลนด์ (Three Mile Island) ของสหรัฐฯ ระเบิด จัดเป็นความรุนแรงระดับ 5

สำหรับผลกระทบจากเหตุการณ์นิวเคลียร์ 7 ระดับ ประเมินจากการประเมินผล 3 อย่าง ไล่จากการสูญเสียการป้องกันเชิงลึก (defence in depth degradation) ผลกระทบ ณ สถานที่ตั้งโรงงาน (on-site effect) และ ผลกระทบนอกสถานที่ตั้งโรงงาน (off-site effect)





ระดับ 1 - เหตุผิดปกติ (ของวิปริต )

ผลกระทบต่อการป้องกันเชิงลึก - มีการได้รับรังสีเกินขีดจำกัดประจำปีตามกฎหมายกำหนด, มีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับองค์ประกอบความปลอดภัย แต่ยังมีความสามารถในการป้องกันเชิงลึก และมีการสูญหายหรือเกิดการขโมยอุปกรณ์รังสี ชุดรังสีสำหรับเดินทางหรือแหล่งกำเนิดรังสีในระดับที่ไม่สูงมาก หากแต่การจัดระดับความรุนแรงนี้ก็มีความแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ ซึ่งยากที่จะวัดได้ตรงๆ ว่าเหตุผิดปกติที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ในระดับ 1 หรือต่ำกว่านั้นซึ่งไม่มีนัยสำคัญ

ระดับ 2 - อุบัติการณ์ (เหตุการณ์ )

ผลกระทบต่อการป้องกันเชิงลึก - มีความผิดพลาดในการจัดเตรียมด้านความปลอดภัยอย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่มีสืบเนื่องตามมา, พบแหล่งกำเนิดรังสีสูงที่ไม่มีเจ้าของ แต่อุปกรณ์ห่อหุ้มไม่ได้รับความเสียหาย, การห่อหุ้มสำหรับวัสดุกำเนิดรังสีสูงไม่เพียงพอ

ผลกระทบ ณ ที่ตั้งโรงงาน - ระดับการแผ่รังสีในบริเวณปฏิบัติงานมากกว่า 50 มิลลิซีเวิร์ตต่อชั่วโมง, มีการปนเปื้อนในบริเวณที่ไม่ควรจะมีการแผ่รังสี

ผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม - ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับรังสีเกิน 10 มิลลิซีเวิร์ต, ผู้ปฏิบัติงานด้านรังสีได้รับรังสีในปริมาณมากกว่าขีดกำจัดประจำปีที่กฎหมาย กำหนด

ระดับ 3 - อุบัติการณ์รุนแรง (Serious incident)

ผลกระทบต่อการป้องกันเชิงลึก - เกิดอุบัติเหตุใกล้ๆ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยไม่มีมีการเตรียมระวังเรื่องความปลอดภัย, แหล่งกำเนิดรังสีที่ผนึกไว้อย่างดีสูญหายหรือถูกขโมย, ขนส่งแหล่งกำเนิดรังสีสูงผิดพลาด โดยไม่มีกระบวนการรับมือที่ดีพอ

ผลกระทบ ณ ที่ตั้งโรงงาน - มีการปลดปล่อยรังสีในพื้นที่ดำเนินงานมากกว่า 1 ซีเวิร์ตต่อชั่วโมง, มีการปนเปื้อนสูง ในบริเวณที่ไม่ควรจะมีการแผ่รังสี แต่มีโอกาสต่ำที่คนทั่วไปจะได้รับรังสีจากบริเวณดังกล่าว

ผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม - มีระดับรังสีสูงกว่าที่ขีดจำกัดที่กฎหมายกำหนด สำหรับผู้ปฏิบัติงานด้านรังสี 10 เท่า, การแผ่รังสีส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระดับที่ไม่ทำให้ถึงตาย

ระดับ 4 - อุบัติเหตุที่มีผลกระทบในระดับท้องถิ่น (Accident with local consequences)

ผลกระทบ ณ ที่ตั้งโรงงาน - แท่งเชื้อเชื้อเพลิงหลอมละลายหรือแท่งเชื้อเพลิงได้รับความเสียหายและมีการ ปลดปล่อยสารรังสีปริมาณเล็กน้อย , มีการปลดปล่อยสารรังสีปริมาณสูงภายในพื้นที่และมีโอกาสสูงที่ประชาชนจะได้ รับสารรังสีในปริมาณสูงด้วย

ผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม - มีการปลดปล่อยสารรังสีในระดับต่ำและต้องวางแผนรับมือ ,มีการควบคุมอาหารในพื้นที่, มีคนเสียชีวิตอย่างน้อย 1 ราย

ระดับ 5 - อุบัติเหตุพร้อมผลกระทบในวงกว้าง (Accident with wider consequences)

ผลกระทบ ณ ที่ตั้งโรงงาน - เกิดความเสียหายรุนแรงที่แกนปฏิกรณ์, สารรังสีปริมาณมากถูกปล่อยออกมา และมีโอกาสสูงที่จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อประชาชน และยกระดับความรุนแรงขึ้นไปอีกหากเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงมากขึ้นหรือเกิด เพลิงไหม้

ผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม - การจำกัดการปลดปล่อยวัสดุนิวเคลียร์ จำเป็นต้องมีการรับมือที่ได้รับการวางแผนอย่างดี, มีผู้เสียชีวิตหลายรายจากการได้รับรังสี

ระดับ 6 - อุบัติเหตุรุนแรง (Serious accident)

ผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม - มีการปลดปล่อยสารรังสีออกมาจำนวนมาก และต้องบรรลุผลในการรับมือตามแผน

อุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ระดับนี้ เคยเกิดขึ้นครึ่งหนึ่งกับโรงงานแปรสภาพเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว (nuclear waste reprocessing facility) สำหรับการทหาร ในเมืองมายัค (Mayak) ของอดีตสหภาพโซเวียต เมื่อ 29 ก.ย.1957 ซึ่งเกิดปัญหาระบบทำความเย็นล้มเหลวในโรงงาน ทำให้มีวัสดุรังสีปลดปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม 70-80 ตัน แต่ผลกระทบต่อประชากรในท้องถิ่นเป็นอย่างไรนั้น ไม่ทราบทั้งหมดแน่นชัด

ระดับ 7 - อุบัติเหตุรุนแรงที่สุด (Major accident)

ผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม - มีการปลดปล่อยวัสดุรังสี ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมออกไปเป็นวงกว้าง และต้องบรรลุผลในการรับมือซึ่งมีการวางแผนและจัดเตรียมไว้

หลังเหตุการณ์ที่เชอร์โนบิลและทรีไมลไอส์แลนด์ ทำให้เกิดแนวคิดในการพัฒนามาตรวัดความรุนแรงของอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ ซึ่งมาตราระหว่างประเทศว่าด้วยเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์นี้ ได้รับการกำหนดขึ้นมาโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ ที่รวมตัวกันครั้งแรกเมื่อปี 1989 โดยเป็นความร่วมมือระหว่างไอเออีเอและสำนักงานพลังงานนิวเคลียร์หรือเอ็นอี เอ (Nuclear Energy Agency: NEA) ในสังกัดองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาหรือโออีซีดี (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD)

นับแต่นั้น ทางไอเออีเอได้ร่วมมือกับสำนักงานพลังงานนิวเคลียร์ของเอ็นอีเอ พร้อมด้วยการสนับสนุนจากกว่า 70 ประเทศในการกำหนดมาตรานี้ขึ้นมา และมีการปรับปรุงมาตรานี้หลายครั้ง โดยมีประชุมเชิงเทคนิคทุก 2 ปี สำหรับการเข้าร่วมในระบบนี้เป็นไปโดยสมัครใจ ซึ่งตัวแทนประเทศต่างๆ ที่ร่วมกำหนดมาตราวัดความรุนแรงของเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์นี้จะร่วมถกเถียง และตัดสินใจในการประยุกต์ใช้มาตรานี้.

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

บริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ

แนะสูตรเด็ด 8:8:8 ช่วยบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 เมษายน 2554 06:56 น.


สันติ จันทวรรณ นักกิจกรรมบำบัด
ในยุคที่เร่งรีบแบบ นี้ การบริหารจัดการเวลาถือเป็นสิ่งที่คนเราทุกคนควรทำ เพราะกิจวัตรประจำวันของแต่ละคนมีไม่เหมือนกันทั้งที่ทำงาน บ้าน หรือโรงเรียน บางครั้งอาจทำให้เวลาพันกันยุ่งเหยิงไปหมด เกิดความกังวล และความเครียดขึ้นได้ เนื่องจากไม่รู้จะจัดลำดับอะไรก่อนหลังดี

วันนี้ทีมงาน Life & Family มีเทคนิคการบริหารจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพจากนักกิจกรรมบำบัดมาฝากกัน

สำหรับใครที่มีงานมะรุมมะตุ้มจนไม่รู้จะแบ่งเวลาพักผ่อนอย่างไรดี สันติ จันทวรรณ นัก กิจกรรมบำบัด โรงพยาบาลมนารมย์ ให้แนวทางว่า อาจเริ่มจากการมองเรื่องการใช้เวลาในแต่ละวันก่อนซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่ แล้วว่า ใน 1 วันทุกคนมีเวลาเท่ากัน 24 ชั่วโมง แล้วใน 24 ชั่วโมง ควรทำอะไรบ้าง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วในวัยเรียนหรือวัยทำงาน การจัดเวลาที่ทำให้เข้าใจง่ายนั้น จะแบ่งจำนวน 24 ชั่วโมงของวันเป็น 3 ส่วน และได้สูตรคือ 8 : 8 : 8 ซึ่งจะมีลักษณะดังนี้

8 ชั่วโมง สำหรับ การนอนหลับ พักผ่อน

8 ชั่วโมง สำหรับ การทำงาน หรือการเรียน

8 ชั่วโมง สำหรับกิจวัตรประจำวันต่างๆ เช่น อาบน้ำ แต่งตัว รับประทานอาหาร เดินทาง เข้าสังคม ตลอดจนกิจกรรมยามว่าง

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเวลาใน 1 วัน มีโครงสร้างการดำเนินชีวิตที่ค่อนข้างชัดเจนในแต่ละวัน หากจัดเวลาให้เหมาะสมตามรูปแบบข้างต้น ซึ่งในบางกรณีสามารถปรับเปลี่ยนลักษณะชั่วโมงต่างๆ ตามสูตรแล้วแต่ลักษณะหน้าที่การงาน การดำเนินชีวิต และสภาพสังคม

นอกจากแบ่งเวลาการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว นักกิจกรรมบำบัด บอกต่อว่า การจัดลำดับของสิ่งที่ทำนั้นก็ช่วยทำให้คุณใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพได้ อย่างน้อย ๆ จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าควรเริ่มทำสิ่งใดก่อนหลังดี ซึ่งมีอยู่ 4 กลุ่มได่แก่ 1. สำคัญและเร่งด่วน 2. สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน 3.ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน 4. ไม่สำคัญ และไม่เร่งด่วน โดยแต่ละกลุ่มนั้น อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ดังรายละเอียดต่อไป

สิ่งสำคัญและเร่งด่วน

เป็นสิ่งที่จำเป็น และต้องทำทันที เช่น ป่วยไม่สบายทนไม่ไหวต้องไปหาหมอ ต้องไปจ่ายค่าไฟฟ้า เนื่องจากเป็นวันสุดท้ายที่ครบกำหนดจ่าย น้ำมันรถหมดต้องเติมปั้มที่ใกล้ที่สุดทันที สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถผ่อนผันเวลาได้ ต้องทำทันทีและถูกบังคับจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ถ้าไม่ทำแล้วจะก่อปัญหา และถ้าหากมีสิ่งนี้มากเกินไปจะทำให้ชีวิตค่อนข้างวุ่นวายกดดัน ยุ่งเหยิงตลอดเวลา ซึ่งอาจเกิดได้จากสถานการณ์บังคับ ผัดวันประกันพรุ่งหรือไม่ค่อยใส่ใจ

ขอบคุณภาพประกอบข่าวจากโรงพยาบาลมนารมย์
สิ่งสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน

เป็นสิ่งที่มีความสำคัญ และสามารถวางแผนไว้ล่วงหน้าได้ เช่น มีนัดไปอบรมสัมนา 3 วัน ในอีก 3 เดือนข้างหน้า หรือมีนัดทำสัญญาการจัดจ้างอีก 2 สัปดาห์ หรือมีนัดพักผ่อนกับครอบครัวช่วงปลายปี สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่อยากทำและสามารถวางแผนจัดการเวลาไว้ล่วงหน้าได้ ซึ่งมักส่งผลให้มีการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพและชีวิตมีเป้าหมายในการใช้ เวลาในแต่ละวัน

สิ่งไม่สำคัญแต่เร่งด่วน

เป็นสิ่งที่ทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ ซึ่งต้องเผชิญและต้องตัดสินใจในขณะนั้นทันที เช่น มีคนโทรศัพท์มาชวนทำบัตรเครดิต มีคนขอความช่วยเหลือถามทาง เพื่อนชวนไปกินข้าวด้วยตอนนี้ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มาขัดจังหวะการใช้เวลาและขึ้นอยู่กับการตัดสินใจใน ขณะนั้น ซึ่งส่งผลทำให้การใช้เวลามีประสิทธิภาพลดลง

สิ่งไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน

เป็นสิ่งที่ทำไปตามอารมณ์หรือความรู้สึก ซึ่งทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ เช่น เล่นเกมฆ่าเวลา นอนจนเกินความต้องการ ดูโทรทัศน์ไปเรื่อย ๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความเพลิดเพลินแต่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร ควรลดให้เหลือน้อยที่สุด

โดยทั้งนี้ นักกิจกรรมบำบัดแนะว่า ควรลองนำสิ่งต่าง ๆ ที่จัดตาม 4 กลุ่มข้างต้นมาจัดเรียงลำดับกัน โดยเรียงจากสิ่งที่ต้องทำในกลุ่มสิ่งสำคัญและเร่งด่วนเป็นอันดับแรก สิ่งสำคัญแต่ไม่เร่งด่วนเป็นอันดับสอง สิ่งไม่สำคัญแต่เร่งด่วนเป็นอันดับสาม และสิ่งไม่สำคัญ ไม่เร่งด่วนเป็นอันสุดท้าย นั่นจะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการที่จะเริ่มทำอะไรก่อนหลังอย่างไม่ ยุ่งเหยิง

ลองนำไปปรับใช้กันดู นะครับ หากผู้อ่านท่านใดมีเทคนิคการบริหารจัดการเวลาที่ทำแล้วได้ผล เข้ามาบอกกันได้นะครับ บางทีวิธีของท่านอาจจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านท่านอื่น ๆ ไม่มากก็น้อย