วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Paper Weight

The European measurement of describing paper weight measures a single paper with a two dimensional height and width of one square meter. This measurement is noted as g/m2 (gm/m2, gsm, g/m2). The measurement may be measuring a hypothetical square meter, but is a good "apples to apples" reference because it compares the weights of different size papers.

The English method of paper weight may be more familiar to people, but it has its drawbacks when comparing weights of different size paper. The English method of measurement gives the weight of the paper as if weighing 500 sheets (or a ream). Differences in the dimensions of paper are not taken into account. Therefore, the English weight of a letter size paper that is thick and dense may be the same as a poster size paper that is light and tissue thin because 500 sheets of each weight the same. It's the "which weights more, a ton of lead or a ton of feathers" quandary.

English paper grade to grammage conversion
Grammage Paper Grade (LBS.)
44 gsm 30 lb. text

59 gsm

16 lb. bond, 40 lb. text
67 gsm 45 lb. text
89 gsm 24 lb. bond, 60 lb. text
104 gsm 70 lb. text
118 gsm 80 lb. text
148 gsm 67 lb. bristol, 100 lb. text
162 gsm 60 lb. cover
163 gsm 90 lb. index
176 gsm 65 lb. cover
178 gsm 80 lb. bristol
199 gsm 110 lb. index
216 gsm 80 lb. cover
219 gsm 100 lb. bristol
253 gsm 140 lb. index
263 gsm 120 lb. bristol
270 gsm 100 lb. cover
307 gsm 140 lb. bristol
308 gsm 170 lb. index
325 gsm 120 lb. cover

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ฉายา


บางส่วนจากบทความ อหังการ ฉายาทีมลูกหนัง
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน20 มิถุนายน 2553 21:38 น.

ฉายาทีมดัง

กลุ่ม A
แอฟริกาใต้-บา ฟานา บาฟานา, Bafana Bafana (เป็นคำศัพท์ที่ใช้เรียกเด็กผู้ชายอันเป็นที่รัก ประมาณ "ไอ้หนูน้อย" ในบ้านเรา)

เม็กซิโก-จัง โก้, El Tri Colour (มาจากสีสามสีบนธงชาติเม็กซิโก ซึ่งมีความหมายดั้งเดิมสีเขียวหมายถึง เอกราช สีขาว หมายถึง ศาสนาสีแดง หมายถึง เอกภาพ แต่ภายหลังของประธานาธิบดีเบนิโต ฮัวเรซ ได้นิยามเสียใหม่ว่าสีเขียวหมายถึงความหวัง สีขาว หมายถึง เอกภาพ สีแดง หมายถึง เลือดของเหล่าวีรชน)

อุรุกวัย-จอม โหด, Charruas (เป็นชื่อชนเผ่าเผ่าหนึ่ง และในภาษากวารานี Charrua นั้นหมายถึงสับสนอลหม่าน พล่าน The Olympic Sky Blue), La Celeste (The Sky Blue)

ฝรั่งเศส-ตรา ไก่, ไก่ทองคำ, เมืองน้ำหอม, Les Blues (The Blues), L Equipe Tricolore (The Tri-color Team) มาจากสีของธงชาติฝรั่งเศส

กลุ่ม B

อาร์เจนตินา-ฟ้า ขาว, อินทรีฟ้าขาว, La Albiceleste (Albiceleste เป็นวลีในภาษาสเปนที่แปลว่าสีขาวและฟ้า ซึ่งมีที่มาจากสีเสื้อทีมชาตินั่นเอง)

ไนจีเรีย-อินทรี มรกต, Super Eagles ทั้งฉายาไทยและเทศของทีมไนจีเรีย มาจากสัญลักษณ์ของทีมที่เป็นรูปนกอินทรีสีเขียว เกาะอยู่บนลูกฟุตบอล

เกาหลีใต้-โสม ขาว, Tae geuk Jeonsa (ประกอบด้วยสองคำคือ Tae ที่แปลว่าความกว้างใหญ่ และ geuk ที่แปลว่าชั่วนิรันดร์เป็นคำเรียกเครื่องหมายที่อยู่บนธงชาติเกาหลี ส่วนคำว่า Jeonsa นั้นก็แปลว่านักรบนั่นเอง)

กรีซ-ทีม จากแดนเทพนิยาย, The Pirate Ship, Galanoleyki (ฉายา The Pirate Ship เป็นฉายาที่กรีซ ได้รับจากนักข่าวในนัดเปิดสนาม ฟุตบอลยูโร 2004 ซึ่งกรีซชนะโปรตุเกสไป 2 -1 โดยอ้างอิงมาจากเรือที่อยู่ในพิธีเปิดการแข่งขัน, ส่วน Galanoleyki นั้นแปลว่าสีฟ้า และ ขาว)
กลุ่ม C

อังกฤษ-สิงโต คำราม, ผู้ดี, Three Lion เป็นตราสัญลักษณ์ประจำตัวขุนนางของพระเจ้าริชาร์ดที่ 1 ซึ่งดัดแปลงเพิ่มเติมจากตราแบบเดิมที่มีสิงโต 1 ตัวบนพื้นแดง มาเป็น 2ตัว และ 3 ตัวในที่สุด ปัจจุบันตราเหล่านี้ ถูกใช้เป็นตราสัญลักษณ์ของทีมฟุตบอลและคริกเกตเท่านั้น

สหรัฐอเมริกา-แยง กี้, ลุงแซม, พญาอินทรี, Sons of Sam, the Yanks เป็นสแลงที่ใช้เรียกคนอเมริกากันโดยทั่วไป เป็นที่นิยมมากในหมู่ชาวอังกฤษ แต่ความหมายที่แคบลงไปกว่านั้นหมายถึงอเมริกันที่มาจากรัฐนิวอิงแลนด์ ส่วนลุงแซมนั้นก็หมายถึงประเทศสหรัฐอเมริกาอีกเช่นกัน ถูกใช้ครั้งแรกในสงครามปี 1812

แอลจีเรีย-จิ้งจอก ทะเลทราย, Les Fennecs ฉายา Fennecs นั้นมาจากชื่อของสัตว์ประจำชาติแอลจีเรียนั่นเอง

สโลวีเนีย-ทีม แห่งเทือกเขาตริกราฟ, ทีมแห่งหุบเขาโซคา (อ้างอิงจาก www.rakball.net)

กลุ่ม D

เยอรมนี-อินทรี เหล็ก, Mannschaft คำนี้ย่อมาจากคำว่า Nationalmannschaft เมื่อแปลออกมาจึงหมายถึง ทีมของประเทศชาติ

ออสเตรเลีย-ซอกเกอร์ รูส์, จิงโจ้, Socceroos เป็นชื่อเล่นอย่างเป็นทางการของ Australia national football team หรือทีมฟุตบอลแห่งชาติออสเตรเลีย

เซอร์เบีย-เด อะ บลูส์, Beli Orlovi (White Eagles) ฉายาอินทรีขาวมาจากชื่อหน่วยทหารระดับพระกาฬของเซอร์เบียที่สร้างชื่อใน ปฏิบัติการรบหลายต่อหลายครั้ง

กานา-ดาวดำ, The Black Stars ที่กานาเรียกตัวเองว่าดาวดำ เป็นเพราะบนธงชาติของกานามีรูปดาวสีดำเป็นสัญลักษณ์อยู่กลางผืนธง

กลุ่ม E

เนเธอร์แลนด์-กังหัน สีส้ม, อัศวินสีส้ม, Oranje อย่างที่รู้ว่าสีส้มเป็นสัญลักษณ์ของทีมชาติฮอลแลนด์ มันมีที่มาจากลวดลายสิงโตสีส้มบนโล่ของ William of Orange-Nassau ผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาผู้ก่อตั้งประเทศฮอลแลนด์, The Flying Dutchmen เป็นฉายาที่ได้จากเรือผีสิงที่มีชื่อเสียงที่สุด, Clockwork Orange ในช่วงทศวรรษ 1970 เป็นช่วงพีกสุดของทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ได้ชื่อว่าเป็นทีมที่มีการส่งบอลกันได้แม่นยำเที่ยงตรง จนได้รับฉายาว่า ‘นาฬิกาสีส้ม’

เดนมาร์ก-โค นม, Danish Dynamite คำนี้ปรากฏครั้งแรกในเพลงประจำทีมเดนมาร์กในการแข่งขันศึกยูโร ปี 1984 และหลังจากนั้นก็กลายเป็นฉายาไปโดยปริยาย, Olsen-Banden หรือ Olsen Gang หรือแก๊งโอลเซน เป็นนวนิยายภาษาเดนนิชว่าด้วยแก๊งอาชญากรรมที่มีผู้นำชื่อ Egon Olsen

ญี่ปุ่น-ซามูไร, ซามูไรสีน้ำเงิน, ปลาดิบ, อาทิตย์อุทัย, ยุ่น, Samurai Blue ที่ใช้ฉายานี้เพราะเสื้อประจำทีมชาติญี่ปุ่นคือสีน้ำเงิน

แคเมอรูน-หมอ ผี, Lions Indomptables คำนี้แปลว่าสิงโตผู้ไม่มีวันแพ้ ทีมชาติแคเมอรูนมีสัญลักษณ์เป็นรูปสิงโตสีเขียว

กลุ่ม F

อิตาลี-อัซ ซูรี่, มะกะโรนี, ฉายาทีมอัสซูรี มีที่มาจากคำว่าอัสซูโร ( Azzurro) มีความหมายถึงสีฟ้าสว่าง ทั้งเป็นสีประจำราชวงศ์ 'ซาวอย' ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่ครองราชจนถึงปี ค.ศ.1946 เหตุที่คำว่าอัสซูรีกลายเป็นฉายาของทีมชาติอิตาลีที่แฟนบอลเรียกขานก็เนื่อง มาจากสีเสื้อทีมชาติของพวกเขาที่เป็นสีน้ำเงินอ่อน หรือสีฟ้าสว่างนั่นเอง

ปารากวัย-ฉายา กัวรานีส์ และ ลา อัลเบียโรญา (Guaranies, La Albirroja) หมายถึงสีขาวและแดง ซึ่งเป็นสีเสื้อของทีมชาติปารากวัย

นิวซีแลนด์-ฉายา กีวี และ All Whites โดยคำว่ากีวี ก็เนื่องมาจากผลไม้ชนิดนี้เป็นผลไม้ขึ้นชื่อของประเทศนิวซีแลนด์ สื่อมวลชนไทยจึงนำมาใช้เป็นฉายาเรียกขาน ส่วนคำว่า ออล ไวต์ ที่ชาวนิวซีแลนด์ ใช้เรียกทีมของพวกเขาก็เนื่องมาจากสีของเสื้อและกางเกงประจำทีมชาติ ที่เป็นสีขาวล้วน

สโลวาเกีย-ยัง ไม่มีฉายาอย่างเป็นทางการ เพียงเรียกกันแพร่หลายว่า สโลวัก ซึ่งก็หมายถึงชาวสโลวาเกียนั่นเอง

กลุ่ม G

บราซิล-มี ฉายาแบบไทยๆ ว่า ทีมแซมบ้า (Samba) ซึ่งหมายถึงจังหวะดนตรีของบราซิล ส่วนฉายาที่คนทั่วโลกเรียกขานก็คือ Seleção ซึ่งมีความหมายว่า 'ผู้ที่ได้รับเลือก'

เกาหลีเหนือ-มี ฉายาแบบไทยๆ ว่า 'โสมแดง' ส่วนฉายาที่ชาวเกาหลีเรียกทีมฟุตบอลของตัวเองก็คือ Mythical Korean Horse หรือ อาชาแห่งตำนาน

ไอวอรีโคสต์-ฉายาที่แฟนบอลชาวไทยเรียกขานก็คือ ช้างดำ ซึ่งก็ตรงกันกับสัญลักษณ์ของทีมที่เป็นรูปช้าง และฉายาที่แฟนบอลไอวอรีโคสต์ขนานนามทีมตัวเองว่า The Elephant

โปรตุเกส-ฉายา ที่แฟนบอลไทยเรียกก็คือ 'ฝอยทอง' ซึ่งเป็นตำรับอาหารที่ขึ้นชื่อของชาวโปรตุเกสที่คนไทยรู้จักดี แต่ด้วยลีลาการเล่นที่เร้าใจ ทำให้บางครั้งก็เรียกว่า 'บราซิลแห่งยุโรป' ขณะที่แฟนบอลโปรตุเกสเองเรียกทีมของตัวเองว่า
Seleccao das Quinas มีความหมายว่า The Navigators

กลุ่ม H

สเปน-กระทิง ดุ, La Furia Roja แปลว่าแดงเดือด สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากสัญลักษณ์ของทีมชาติสเปนที่มีสีแดงเป็นองค์ประกอบ หลัก

สวิตเซอร์แลนด์-เมือง นาฬิกา, Schweizer Nati เป็นคำเรียก Swiss national football team ในภาษาเยอรมัน

ชิลี-เสื้อ แดง, La Roja (The Red One) ตั้งฉายาตามสีเสื้อทีมซึ่งเป็นสีแดง

ฮอนดูรัส- Los Catrachos มาจากชื่อของเหรียญกษาปณ์ของชาวนิการากัวในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 , La Bicolor หมายถึงสองสี มาจากสัญลักษณ์ของทีมชาติฮอนดูรัสที่ใช้สีขาวและฟ้าเป็นหลัก

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ขโมย


Sir Henry Wickham

Henry Wickham : ผู้ลอบขโมยยางพาราจากบราซิลข้ามโลก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 มิถุนายน 2553 03:27 น.
(http://manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9530000083691)

สถิติการเกษตรกรรมของประเทศไทย ระบุว่า ในแต่ละปีประเทศไทยผลิตยางพาราได้ประมาณ 3 ล้านตัน ซึ่งคิดเป็น 30% ของยางที่ผลิตได้จากทั่วโลก และ 10-12% ของยางที่ผลิตได้นี้ถูกนำมาใช้ในประเทศ โดยการแปรรูปเป็นยางรถยนต์ส่วนที่เหลือจะถูกส่งออก จึงทำเงินเข้าประเทศได้ถึง 140,000 ล้านบาท/ปี ข้อมูลนี้คงทำให้คนหลายคนตระหนักในความสำคัญของพระยารัษฎานุประดิษฐ์ ซึ่งเป็นบุคคลแรกที่นำยางพาราจากมาเลเซียมาปลูกในประเทศไทย

แต่ถ้ามองย้อนไปให้ไกล เราก็จะพบว่า บุคคลที่เกษตรกรยางควรสำนึกในพระคุณด้วยคือ Henry Wickham ผู้ลอบนำยางพาราซึ่งเป็นพืชท้องถิ่นของบราซิลออกนอกประเทศ ไปปลูกในประเทศเขตร้อน ซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษ และยางเจริญงอกงามดี จนธุรกิจยางในบราซิลประสบภาวะล่มสลาย เพราะยางธรรมชาติได้เข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนโลกอุตสาหกรรมจนทุกวันนี้

Henry Wickham เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1846 ที่เมือง Hampstead ในประเทศอังกฤษ บิดามีอาชีพเป็นทนายความ ซึ่งได้เสียชีวิตตั้งแต่ Wickham มีอายุ 7 ขวบ เมื่ออายุ 20 ปี Wickham ได้เดินทางไป Nicaragua ในอเมริกากลาง (และได้กลับไปเยือนประเทศในแถบละตินอเมริกาหลายครั้ง) เมื่อเดินทางกลับถึงอังกฤษ ก็ได้เข้าพิธีสมรสกับ Violet Case Carter ผู้มีบิดาเป็นเจ้าของโรงพิมพ์ Wickham คิดวางแผนร่ำรวยด้วยการนำต้นไม้ หรือพืชจากประเทศหนึ่งไปปลูกในต่างแดน จึงทดลองนำต้นกาแฟ กล้วย มะละกอ ฯลฯ จาก Nicaragua, Venezuela, Brasil, Belize ไป Australia, Papua New Guinea แต่ได้พบว่าพืชทดลองที่ลอบนำไปทุกชนิดไม่เจริญเติบโต นอกจากต้นยาง (Hevea brasiliensy) ที่ Wickham ได้นำออกจาก Santarem ในบราซิลในปี 1876 เพื่อเอาไปให้ Joseph Dalton Hooker ที่ลอนดอนผู้ได้สัญญาว่าจะจ่ายเงินให้ Wickham 20 ปอนด์ ถ้า Wickham นำเมล็ดยางมาได้ 1,000 เมล็ด แต่เมื่อ Wickham ไม่เคยประสบความสำเร็จใดๆ ในการนำพืชต่างแดนมาปลูก บรรดาผู้บริหารที่สวนพฤกษศาสตร์ Kew จึงไม่เชื่อว่า ต้นยางของ Wickham จะขึ้นได้ดี ดังนั้นจึงไม่ได้สนับสนุนให้มีการนำยางไปปลูกในดินแดนอาณานิคมของอังกฤษ จนกระทั่งเวลาผ่านไปอีก 20 ปี

ในปี 1876 ที่ Wickham ลอบขโมยยางออกจากบราซิลนั้น อังกฤษมีสมเด็จพระราชินี Victoria เป็นประมุข โดยมีอาณานิคมอยู่ทั่วโลก จึงสนับสนุนให้นักสำรวจ และนักผจญภัยต่างๆ ออกแสวงหาพืช และสัตว์แปลกๆ จากต่างประเทศมาปลูกและเลี้ยงในอังกฤษ โดยเฉพาะพืช ซึ่งจะนำมาปลูกทดลองที่สวนพฤกษศาสตร์ Kew และถ้าพบว่าพืชใดขึ้นได้ดี ในประเทศอาณานิคมใด ก็จะสนับสนุนให้คนพื้นเมืองปลูกพืชนั้นๆ เพื่อส่งออกขายนำเงินเข้าประเทศอังกฤษ สำหรับบราซิล ซึ่งขณะนั้นเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส ไม่มีกฎหมายห้ามการนำพืชออกนอกประเทศ ถึงกระนั้น Wickham ก็จำต้องใช้กลอุบายหลอกตำรวจบราซิลว่า สิ่งที่ตนกำลังนำออกจากประเทศเป็นพืชตัวอย่างที่จะเอาไปปลูกในสวนพฤกษศาสตร์ Kew บรรดาเจ้าหน้าที่บราซิลที่ตกหลุมพรางจึงอนุญาตด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ว่าตนกำลังทำลายเศรษฐกิจของชาติอย่างถาวร

เพราะบราซิลอยู่ในเขตร้อน ดังนั้นนักพฤกษศาสตร์อังกฤษ จึงส่งกล้ายางไปทดลองปลูกที่อินเดีย ลังกา และสิงคโปร์ และก็ได้พบว่า ยางเจริญเติบโตดีมาก จึงสนับสนุนให้มีการปลูกอย่างขนานใหญ่ในปี 1985 Henry Nicholas Ridley ก็ได้นำเมล็ดยางมาปลูกในมาเลเซีย และอีก 4 ปีต่อมา พระยารัษฎานุประดิษฐ์ ผู้เป็นเจ้าเมืองตรัง ก็ได้นำยางมาปลูกที่อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เป็นครั้งแรก

ก่อนที่ Wickham จะขโมยยาง สวนยางพาราไม่มีในโลกและ 98% ของยางที่ผลิตได้มาจากบราซิล แต่เมื่อยางงอกงามในเอเชีย เมื่อถึงปี 1919 อุตสาหกรรมยางในบราซิลก็ตายสนิท ซึ่งมีผลทำให้การค้าทาสในบราซิลหยุดตามไปด้วย และสิงคโปร์ได้กลายเป็นศูนย์กลางการค้ายางของโลกแทน เพราะ 75% ของยางที่ผลิตได้ในโลกมาจากดินแดนที่เป็นอาณานิคมของอังกฤษ ยางจึงทำให้อังกฤษมีบทบาทมากในโลกอุตสาหกรรม แต่กว่าอังกฤษจะยกย่อง Wickham ให้เป็นท่าน Sir ก็ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตเพียงเล็กน้อย (วันที่ 27 กันยายน 1928) ทั้งนี้คงเพราะไม่ยอมรับความสามารถด้านเกษตรกรรมของ Wickham สืบเนื่องจากที่ Wickham ไม่มีปริญญาและไม่มีความสำเร็จด้านเกษตรกรรมเลย

นอกจากนี้ Wickham ยังวางตัวเสมือนว่าตนเป็นบุคคลสำคัญของโลก จนทำให้นักวิชาการและผู้คนไม่พอใจ ไม่เพียงแต่คนอังกฤษเท่านั้นที่ไม่รู้สึกสุข คนบราซิลเองก็ตราหน้า Wickham ว่าเป็นมหาโจรที่ปล้นชาติ แต่ในที่สุดเมื่ออังกฤษได้ยางมาปลูกในเอเชีย จนสามารถสนองความต้องการยางของโลกได้ถึง 95% อังกฤษจึงสามารถเป็นมหาอำนาจได้ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง คุณงามความดีของ Wickham ได้ทำให้สมเด็จพระราชินี Victoria โปรดเกล้าฯ ให้ Wickham วัย 74 ปี ดำรงตำแหน่ง Sir ซึ่งขณะนั้นยากจนมาก และไร้ Violet ผู้เป็นภรรยามายินดีเคียงข้าง เพราะเธอได้เสียชีวิตไปก่อนนั้นนานแล้ว

ในด้านชีวิตส่วนตัว ชีวิตของ Wickham เป็นชีวิตที่ล้มเหลว เป็นคนมีความทะเยอทะยาน และความกระหายอำนาจรวมถึงต้องการความร่ำรวย ความต้องการเหล่านี้ได้ทำลายชีวิตครอบครัวและตนเองอย่างสมบูรณ์ เพราะ Wickham เป็นคนที่ไม่รักใครจริง ทั้งๆ ที่ภรรยารักเขามาก และติดตามเขาไปทุกหนทุกแห่ง แต่ความมุ่งมั่นแต่จะเอาชื่อเสียงทำให้เขาทอดทิ้งเธอให้อยู่คนเดียวบนเกาะ New Guinea ที่มีมนุษย์กินคนเป็นเวลานานถึง 19 วัน ดังนั้นเมื่อเธอหลุดรอดออกมาได้และกลับถึงอังกฤษ เธอก็ได้หย่าจากเขาทันที

เมื่อถูกหย่า Wickham กลายเป็นคนมีอารมณ์ปรวนแปรมาก และไม่มีเพื่อน ครั้นตกงานและ
ล้มเจ็บ เขาเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยว และตระหนักก่อนสิ้นใจว่า ตลอดชีวิตมีงานชิ้นเดียวที่ทำได้สำเร็จดี
นั่นคือ การขโมยยางออกจากบราซิล

ตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นมา โลกมีสนธิสัญญาเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ Cenvention on Biological Diversity ซึ่งมีใจความว่า นักวิทยาศาสตร์จะต้องได้รับอนุญาตจากประเทศเจ้าของบ้านเวลาจะเข้าไปเก็บพืช และสัตว์ตัวอย่างก่อน และให้นำผลประโยชน์ที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมาให้แก่คนท้องถิ่นด้วย

คุณหาอ่านเรื่องของ Wickham กับยางพารา เพิ่มเติมได้จาก
The Thief at the End of the World : Henry Wickham’s adventures โดย Joc Jackson ที่จัดพิมพ์โดย Viking ปี 2008 ราคา 27.95 ดอลลาร์

สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

TK Park

มองอดีต คิดถึงอนาคต “ทีเค พาร์ค”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 มิถุนายน 2553 09:41 น.
ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งชอปปิ้งชื่อดังระดับเอเชีย แต่ภายในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งนี้ ยังเป็นที่ตั้งของ “ทีเค พาร์ค”อุทยานแห่งการเรียนรู้ แหล่งคลังสร้างปัญญาให้กับเยาวชนเมืองกรุง

... แม้ความเสียหายจากไฟไหม้ในเหตุจลาจล ไม่ได้ลามมาเผาถึงบริเวณอุทยานแห่งการเรียนรู้ แต่ทว่าก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบจากคราบเขม่าควันไฟนานนับหลายชั่วโมง และระบบสปริงเกอร์ที่ทำงานจนหนังสือและอุปกรณ์กว่าครึ่งได้รับความเสียหาย ทั้งยังไม่รวมถึงตัวโครงสร้างอาคารในภาพรวมที่เมื่อซ่อมแซมใหม่ ก็ยังไม่แน่ใจถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น

ปัจจุบันเซ็นทรัลเวิลด์ รวมถึง ทีเค พาร์ค จึงไม่สามารถให้บริการได้ในระยะเวลาอันใกล้ และในอนาคตอุทยานแห่งการเรียนรู้แห่งนี้จะยังตั้งอยู่ที่เดิม หรือต้องหาที่ใหม่ ก็ยังไม่แน่นอน

ดร.ทัศนัย วงศ์พิเศษกุล ผู้อำนวยการทีเค พาร์ค กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงในขณะที่กำลังซ่อมแซมปรับปรุงว่า ทรัพยากรของอุทยานการเรียนรู้ในส่วนของสารนิเทศ มีมากกว่า 70,000 ไอเทม โดยส่วนที่เสียหาย คือ โซนห้องสมุด และโซนบริการ แต่ขณะที่กำลังทำการซ่อมแซม งานส่วนอื่นๆยังคงดำเนินไปเช่นกัน

“ตอนนี้เราทำงานหนักมากกว่าเดิม โดยหนังสือที่เสียหายได้ส่งไปซ่อมแซมยังสำนักจดหมายเหตุ (หอสมุดแห่งชาติ) และแบ่งไปยังหน่วยงานเอกชนอื่นๆ งานที่เหลือซึ่งเป็นส่วนของกิจกรรมต่างๆ เราก็ยังมีการประชุมดูทิศทางภารกิจ และพัฒนาผู้มีความสามารถพิเศษ ขณะเดียวกันก็จัด TK Mobile Library อีกครั้ง โดยขณะที่ ทีเค พาร์ค เดิมยังเปิดบริการไม่ได้ เราก็ให้บริการห้องสมุดเคลื่อนที่ไปยังสวนจตุจักร และสวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) เป็นการชั่วคราว”

ส่วนกรณีข่าวว่าที่ต้องเคลื่อนย้ายไปที่มิวเซียม สยามนั้น ดร.ทัศนัย เผยว่า ได้ทำการย้ายแค่ในส่วนของออฟฟิศ และล่าสุดได้กลับมายังเซนทรัลเวิร์ลดแล้ว

“ความจริงแล้วทีเค พาร์ค แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนสำนักงานบุคลากร และส่วนบริการ ซึ่งตอนนี้เราได้ย้ายส่วนสำนักงานกลับมายังเซ็นทรัลเวิร์ลด และวางแผนจะเปิดเป็น Mini TK Park หรือ TK Corner เป็นการชั่วคราว จนกว่าทีเค พาร์ค ส่วนเดิมจะได้รับการปรับปรุงเสร็จ ซึ่งคาดว่า อาจต้องใช้ระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 เดือน”

มุมมองของคนที่ใกล้ชิดกับสถานที่แห่งนี้อย่าง “น้ำฝน ละม้ายแข” นักศึกษาพาร์ตไทม์ที่เคยทำงานอยู่ในทีเค พาร์ค ซึ่งเผยว่า สิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอไปพร้อมกับเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น คือ “ตกงาน”

“โดยปกติทำงานพาร์ตไทม์ไปด้วย เรียนไปด้วย โดยทำงานที่ ทีเค พาร์ค มานาน เมื่อปิดบริการ ก็ทำให้ต้องตกงานไปโดยปริยาย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ รายได้ทั้งหมด นับเป็นส่วนหนึ่งที่นำมาใช้ในการเรียนได้”

เมื่อถามถึงอนาคตว่า คนที่คลุกคลีกับ ทีเค พาร์ค แบบเธออยากให้อุทยานแห่งนี้เป็นอย่างไร น้ำฝน บอกว่า หากต้องเปลี่ยนแปลงสถานที่ คงอยากให้ย้ายไปอยู่ในที่เงียบสงบ มีต้นไม้ หรือเปิดใกล้ๆกับสวนสาธารณะ เพื่อที่จะได้ลดความวุ่นวาย ส่วนจะต้องปรับปรุงอะไรตรงไหนเพิ่มเติมหรือเปล่า น้ำฝนตอบสั้นๆว่า ทีเค พาร์ค แบบเดิมนั้นดีมากอยู่แล้ว มีความลงตัวแทบทุกอย่าง ขอให้คงรูปแบบเดิมเอาไว้ก็พอ

ด้าน ณัฎฐ์ธรณ์ ทวีมงคลสวัสดิ์ นักศึกษาพาร์ตไทม์ และฝึกงานที่ ทีเค พาร์ค กล่าวถึงความรู้สึกว่าไม่อยากให้สถานที่แห่งนี้ต้องปิดตัวไป เบื้องต้นต้องไปหางานประจำที่อื่นทำ เพราะยังไม่รู้อนาคตที่แน่นอนของ ทีเค พาร์ค ใหม่

“ผมคิดว่า ทีเค พาร์ค เป็นทางเลือกของคนรุ่นใหม่ ซึ่งนอกจากมีความรู้จากหนังสือแล้ว ยังเป็นแหล่งกิจกรรมที่ไม่เหมือนที่อื่น บางคนไม่มาอ่านหนังสือ แต่มาดูหนังก็ได้ มาฟังเพลง หรือร่วมกิจกรรมด้านอื่นที่จัดขึ้น ส่วนตัวหากต้องย้ายที่ทำการไปที่อื่น ผมก็อยากให้ดูผลกระทบเรื่องการเดินทางเป็นหลัก เพราะอาจจะไม่สะดวกเหมือนเคย”

ส่วนผู้ใช้บริการแหล่งการศึกษาแห่งนี้เป็นประจำอย่าง “ณัฐ ชฎา แสงทับทิม” คุณแม่ของน้องมายด์ วัย 6 ขวบ เล่าว่า จูงมือคุณลูกมาสมัครเป็นสมาชิก ทีเค พาร์ค มาตั้งแต่เปิดใหม่ๆและเข้าใช้บริการอุทยานการเรียนรู้แห่งนี้สัปดาห์ละครั้ง ด้วยหวังอยากให้ลูกสาวได้สัมผัสกับบรรยากาศการเรียนรู้ และปลูกฝังให้รักการอ่าน

แต่พอทราบข่าวว่าเซ็นทรัลเวิลด์ ประสบเหตุเพลิงไหม้ ใจที่ผูกพันกับพื้นที่ห้องสมุดแห่งนี้ ก็รู้สึกเป็นห่วงในความเสียหายตลอดจนห่วงไปยังพนักงานที่เคยให้บริการ

“ตอนแรกพอรู้ว่าเกิดเหตุก่อนจะรู้สึกเสียดาย ห้องสมุด ก็ห่วงพนักงานที่เราเคยเห็นเขามาให้บริการเราอยู่ว่าจะตกงานหรือเปล่า ต่อมาถึงได้มารู้สึกเสียดาย นั่งย้อนไปในทีเค พาร์ค มีสิ่งที่เป็นประโยชน์ อย่างดิฉันเองอยากจะปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้ลูก ก็จะพาเขามาทุกสุดสัปดาห์เพื่อให้เขามาอยู่กับคนอ่านหนังสือ และอ่านหนังสือดีๆที่ห้องสมุดอื่นๆไม่มี ตลอดจนพาครอบครัวไปร่วมกิจกรรมกับทีเค ปาร์ค ที่นี่จึงนับเป็นวันหยุดสำหรับเรา แต่ตอนนี้เมื่อต้องปิด ห้องสมุดอื่นๆที่มีก็คงไม่เหมือนกัน เพราะส่วนใหญ่จะมีแต่หนังสือสำหรับผู้ใหญ่ไม่ค่อยจะมีหนังสือภาษาอังกฤษ สำหรับเด็ก”


คุณแม่ยังสาวแสดงความคิดเห็นต่อกรณีย้ายพื้นที่ไปตั้งอยู่ที่มิ วเซียมสยามเป็นการชั่วคราว ว่าไม่ค่อยจะเห็นด้วยเนื่องจากเรื่องของการสัญจรที่อาจจะไม่สะดวกต่อคนหมู่ มากเหมือนเคย

“เราก็คิดถึงบรรยากาศการอ่านหนังสือ ดี ที่สบายๆมีคนทุกเพศทุกวัย พร้อมทำเลที่เดินทางสะดวก หากจะย้ายจริงๆก็อยากให้ยึดที่ที่เป็นแหล่งใจกลางเมืองให้มีรถไฟฟ้า หรือรถไฟใต้ดินผ่านก็น่าจะดีกว่านี้”


ภาพประกอบจาก Facebook - TK Park

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วันโลกหายนะ

กระชับพื้นที่คืนความจริง “วันโลกหายนะ”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 พฤษภาคม 2553 00:59 น.
ข่าวลือเกี่ยวกับ “วันโลกหายนะ” เป็นอีกหนึ่งสีสันของจดหมายลูกโซ่ ที่วนเวียนอยู่บนโลกออนไลน์ วันดีคืนดีข่าวลือดังกล่าวมาปรากฏบนสื่อทีวีในช่วงเวลา “ไพรม์ไทม์” ย่อมสร้างความตื่นตระหนกได้ในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคนในวงการวิทยาศาสตร์เอง คือผู้อ้างถึงข้อมูลวิทยาศาสตร์อย่างเป็นตุเป็นตะ

ตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับอีเมลลูกโซ่ เกี่ยวกับวันโลกหายนะเหมือนในภาพยนตร์เรื่อง 2012 อย่างต่อเนื่อง และมีการอ้างถึงข้อมูลวิทยาศาสตร์ เดิมเขาเชื่อว่ากระแสนี้จะซาไปแต่กลายเป็นว่ากระแสยังคงมีอยู่ จึงตัดสินใจจัดเสวนาและแถลงข่าวชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว หลังเหตุการณ์บ้านเมืองเริ่มคลี่คลาย ในเวที “ตอบทุกคำถามสังคมไทย ที่กังวลต่อการล่มสลายของโลก” เมื่อวันที่ 25 พ.ค.53 ที่ผ่านมา ณ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ

- สนามแม่เหล็กกลับขั้ว-โลกพลิก

หนึ่งในประเด็นการล่มสลายของโลกคือการกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกใน วันที่ 22 ธ.ค.55 จากเหนือไปใต้ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ดวงอาทิตย์กลับขั้ว เกิดสนามแม่เหล็กและความร้อนบนโลก ทำให้น้ำแข็งละลาย น้ำท่วมโลก เกิดสึนามิ โลกจะเอียงจาก 23.5 องศาไปเป็น 26 องศา แล้วพลิกกลับจากเหนือไปใต้

คำถามคือจริงหรือไม่ที่แม่เหล็กโลกจะกลับ ขั้ว?

ดร.สธนกล่าวว่า ปรากฏการณ์แม่เหล็กโลกกลับขั้ว เคยเกิดขึ้นบนโลกมาแล้วหลายครั้ง แต่ละครั้งเว้นช่วงประมาณ 1 ล้านปี ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อ 700,000 ปีที่แล้ว ซึ่งเริ่มมีมนุษย์กำเนิดขึ้นบนโลกแล้ว และระหว่างการกลับขั้วช่วง 1 ล้านปีนั้น อาจมีการกลับขั้วในช่วงสั้นประมาณ 4-5 พันปี

การกลับขั้วแม่เหล็กโลกนี้ ไม่ได้หมายถึงโลกพลิกกลับจากเหนือไปใต้ แต่หมายถึงสนามแม่เหล็กอ่อนกำลังลง แล้วเกิดสนามแม่เหล็กที่ยุ่งเหยิงขึ้น ก่อนกลับสู่สภาพปกติ ซึ่งระหว่างที่แม่เหล็กอ่อนลงนั้น จะมีรังสีคอสมิคเข้ามาแต่ไม่มากมายนัก

“ส่งผลกระทบไหม มีผลกระทบบ้างถ้าเรายังใช้เข็มทิศอยู่ แต่เดี๋ยวนี้เราใช้จีพีเอส (GPS) กันเยอะ ผลกระทบอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ และช่วงเวลาระหว่างการพลิกขั้วเกิดขึ้นช้า เป็นระยะเวลาพันปี แสนปีขึ้นไป"

"ปัจจุบันความแรงสนามแม่เหล็กขึ้นๆ ลงๆ เมื่อ 700,000 ปีก่อน สนามแม่เหล็กโลกเคยอ่อนกว่านี้ด้วยซ้ำ ดังนั้นการกลับขั้วแม่เหล็กโลกไม่ใช่ประเด็นที่ก่อให้เกิดปัญหา โดยหลักฐานการกลับขั้วคือหินแข็งที่มีสภาพแม่เหล็กตามแม่เหล็กโลก ซึ่งเกิดจากหินร้อนๆ ในโลกออกมาเจอสภาพแม่เหล็กภายนอกแล้วแข็งตัว” ดร.สธนกล่าว

ขั้วแม่เหล็กโลกนั้น เกิดจากการไหลของกระแสโลหะหลอมเหลวในแกนกลางโลก ทำให้เกิดสนามแม่เหล็กเหมือนไดนาโมที่ใช้ขดลวดพันรอบแกนแม่เหล็ก โดยสนามแม่เหล็กจะพุ่งจากขั้วใต้ไปขั้วเหนือ ดังนั้นขั้วโลกเหนือจึงเป็นขั้วแม่เหล็กใต้ และขั้วโลกใต้จึงเป็นขั้วแม่เหล็กเหนือ

แต่การไหลของกระแสโลหะหลอมเหลวในแกนกลางโลกไม่สม่ำเสมอ ตำแหน่งขั้วแม่เหล็กจึงไม่คงที่ และเป็นบริเวณกว้าง เช่น ปี 1904 ขั้วแม่เหล็กเหนืออยู่เป็นบริเวณหนึ่ง และปี 1996 ขั้วแม่เหล็กเหนืออยู่อีกบริเวณ เป็นต้น

- ดาวเคราะห์เรียงตัวทำแผ่นดินไหวบนโลก

การเรียงตัวของดาวเคราะห์ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ถูกโยงว่าทำให้เกิดแผ่นดินไหวบนโลก เนื่องจากมีแรงไทด์ (tide) กระทำต่อโลก

หากแต่ ดร.สธนอธิบายว่าแรงไทด์คือ "แรงน้ำขึ้นน้ำลง" (tidal force) นั่นเอง เป็นแรงเสมือนว่าดึงโลกให้ยืดออก และดวงจันทร์มีบทบาทให้เกิดแรงนี้กระทำต่อโลกมากที่สุด และด้านที่อยู่ใกล้ดวงจันทร์มากที่สุดจะถูกดึงมากกว่า โดยแรงนี้มีอธิบายด้วยสมการที่มีตัวแปรเพียง 2 ตัวคือ ระยะห่างระหว่างวัตถุที่ดึง และมวลของวัตถุที่ดึง

“แรงน้ำขึ้นน้ำลง น้อยกว่าแรงดึงดูดของโลกถึง 10 ล้านเท่า แรงที่สุดของแรงนี้คือ ทำให้ของเหลวบนโลกเคลื่อนที่ หรือเกิดน้ำขึ้นน้ำลง แต่ยังน้อยเกินกว่าจะมีผลต่อโครงสร้างหรือแผ่นทวีป 10 ล้านเท่า"

"ดวงอาทิตย์ซึ่งใหญ่กว่าดวงจันทร์มากแต่อยู่ห่างโลกมากกว่า จึงมีแรงนี้น้อยกว่าดวงจันทร์ประมาณครึ่งหนึ่ง หากดวงจันทร์และดวงอาทิตย์มาซ้อนกัน ผลคือทำให้เกิดน้ำขึ้นสูงในวันขึ้น 15 ค่ำและแรม 15 ค่ำเท่านั้นเอง” ดร.สธนกล่าว

นอกจากนี้ ผลการเปรียบเทียบตำแหน่งการเรียงตัวของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะกับการเกิด แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ 10 อันดับ ซึ่งเกิดที่เกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.47 เป็นแผ่นดินไหวใหญ่อันดับ 3 และครั้งรุนแรงสุดเกิดขึ้นที่ชิลี เมื่อ 22 พ.ค.03 นั้น ไม่มีครั้งใดเลยที่ดาวเคราะห์เรียงตัวกัน โดยพิจารณาเฉพาะดาวพุธ ดาวศุกร์ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และโลก ส่วนดาวเคราะห์วงนอกนั้น ดร.สธนกล่าวว่าตัดออกได้ เพราะอยู่ไกลมาก

“เรียงหรือไม่เรียงไม่สำคัญ เพราะแรงไม่ถึงอยู่แล้ว คำอ้างในข่าวในฟอร์เวิร์ดเมล เป็นคำอ้างที่ไม่มีหลักฐาน การอ้างงานวิจัยก็มีความเข้าใจที่ไม่ตรง บทความยังไม่มีชื่อผู้เขียนและเป็นการคาดเดาไว้ก่อน” ดร.สธนวิจารณ์คำทำนายเรื่องโลกล่มสลาย ที่อ้างถึงผลการศึกษาของทีมนักวิจัยอิตาลี

ทั้งนี้ งานวิจัยดังกล่าวมีอยู่จริง แต่รายละเอียดระบุว่า มีความแปรปรวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ก่อนเกิดแผ่นดินไหวเล็กน้อย ซึ่งคาดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของโลกเอง ไม่ใช่พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าขนาดใหญ่ จนสามารถจุดฉนวนแผ่นดินไหวอย่างที่กล่าวอ้าง

-Solar Maximum คำที่ถูกอ้างวันโลกสลาย


ความวิตกว่า โลกถึงคราวหายนะนั้น มักเชื่อมโยงการเข้าสู่ช่วง "โซ ลาร์ แม็กซิมัม" (Solar Maximum) ของดวงอาทิตย์ ซึ่ง ผศ.พงษ์ ทรงพงษ์ อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งร่วมเวทีเสวนาอธิบายว่า ช่วงดังกล่าว ดวง อาทิตย์มีกิจกรรม*เกิดขึ้นมาก และมีการกลับขั้วสนามแม่เหล็ก เกิดขึ้นสลับกับ "โซลาร์ มินิมัม" (Solar Minimum) ที่ดวงอาทิตย์มีกิจกรรมน้อย โดยมีระยะเวลาสลับกันประมาณ 11 ปี

กิจกรรมต่างๆ บนดวงอาทิตย์นั้น เกิดจากสนามแม่เหล็กเนื่องจากการไหลวนของก๊าซร้อนบนดวงอาทิตย์ ครั้งล่าสุดที่เกิด Solar Maximum คือเมื่อปี 2544 ส่วนตอนนี้เรา กำลังอยู่ในช่วง Solar Minimum"

"ครั้งแรกที่เราเริ่มนับจุดมืดบนดวงอาทิตย์คือเมื่อปี 2323 ซึ่งพบว่าการเกิดจุดมืดมากสลับกับไม่มีเลยนั้นเป็นช่วงๆ ชัดเจน ตอนนี้เราอยู่วัฏจักรสุริยะรอบที่ 23 และกำลังสู่รอบที่ 24 ในปี 2555 (หรือ 2012) ซึ่งจะเริ่มช่วง Solar Maximum รอบใหม่ แต่เราก็ตรวจดูสนามแม่เหล็กบนดวงอาทิตย์ทุกวันว่า เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง” ผศ.พงษ์กล่าว

เมื่อเข้าสู่ Solar Maximum สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ มีกิจกรรมบนดวงอาทิตย์มากขึ้น สนามแม่เหล็กมีการเปลี่ยนแปลง เพราะดวงอาทิตย์ส่งอนุภาคมีประจุมาเยอะขึ้น มีการพ่นมวลมีประจุมายังโลก ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เราสังเกตได้ เช่น ปรากฏการณ์แสงเหนือ-แสงใต้ ซึ่งเห็นได้ที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ แต่ปี 2501 มีรายงานพบแสงเหนือ-แสงใต้ที่เม็กซิโก ซึ่งอยู่ต่ำจากขั้วโลกเหนือลงมาอยู่ที่ละติจูด 30 องศาเหนือ

เมื่อปี 2532 กิจกรรมบนดวงอาทิตย์ ได้ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าในระบบส่งไฟฟ้าของแคนาดา จนหม้อแปลงไหม้และเกิดไฟดับ แต่ในปี 2544 ไม่เกิดเหตุไฟดับเนื่องจากทราบว่าจะเกิดขึ้นและได้เตรียมการรับมือไว้

- ซากดาวส่องตรงรังสีแกมมาเผาโลกเป็นจุณ

การระเบิดของรังสีแกมมา (Gamma Ray Burst: GRB) เป็นปรากฏการณ์ส่งรังสีแกมมาจากซากของดวงดาวที่กำลังดับสูญ และเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับดวงดาว ซึ่งมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 10 เท่าขึ้นไป โดยปกติดาวฤกษ์มีปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันเป็นแหล่งพลังงาน ซึ่งจะหลอมรวมธาตุเล็กให้กลายเป็นธาตุใหญ่ และให้พลังงานออกมา เสมือนมีแรงระเบิดนิวเคลียร์อยู่ภายในดวงดาว

ขณะเดียวกันดาวฤกษ์ยังมีแรงโน้มถ่วงดึงมวลกลับมาอยู่รวมกัน จึงเปรียบได้กับการชักเย่อระหว่างแรงระเบิดกับแรงโน้มถ่วง เมื่อธาตุตั้งต้นหมดลงการระเบิดก็น้อยลง ทำให้แรงโน้มถ่วงชนะและเริ่มดึงให้ดาวยุบลง

อย่างไรก็ดี การยุบตัวของดาวนั้น มีปลายทางที่แตกต่างกัน ดาวบางดวงยุบตัวอย่างเงียบสงบและหมดพลังงานไป บางดวงเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ขึ้นอีกเนื่องจากแรงโน้มถ่วงทำให้เกิดการหลอม รวมของธาตุครั้งใหม่

บางดวงเกิดระเบิดอย่างรุนแรงเรียกว่า “โนวา” (nova) หรือ “ซูเปอร์โนวา” (supernova) กลายเป็นเนบิวลาและเกิดการรวมตัวของก๊าซกลายเป็นดาวอีกรอบ บางดวงยุบตัวอย่างรวดเร็วและกลายเป็นหลุมดำ แต่บางครั้งเกิดการยุบตัวและเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่รุนแรงพร้อมๆ กัน ทำให้เกิดรังสีแกมมาความเข้มสูงส่งออกมาในทิศทางที่แน่นอนและเป็นลำแคบๆ หรือเรียกว่าการระเบิดของรังสีแกมมานั่นเอง

ถ้าส่องมายังโลก ก็ตายหมดทั้งโลก การระเบิดของรังสีแกมมาการระเบิดของรังสีแกมมานี้ น่ากลัวมาก แต่ต้องกลัวไหม ไม่ต้องกลัว เพราะถ้าเกิดขึ้นก็รวดเร็วมากจนเราไม่ทันได้รู้สึก เนื่องจากรังสีเดินทางด้วยความเร็วแสง" ผศ.พงษ์กล่าว

อย่างไรก็ดี ผศ.พงษ์กล่าวเผยว่า โอกาสดังกล่าว เกิดขึ้นน้อยมาก เพราะอย่างแรกต้องเกิดใกล้ๆ เรา ประมาณกาแลกซีถัดไป และต้องหันมาทางเราพอดี ซึ่งดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้เราที่สุดคือดาวพรอกซิมา (Proxima) อยู่ไกลออกไป 4.2 ปีแสง แต่มีขนาดเพียง 1 ใน 10 ของดวงอาทิตย์ เมื่อดาวดวงนี้ดับ จะไม่เกิดระเบิดรังสีแกมมาแน่นอน แต่ถ้าถึงวันหนึ่งเราจะต้องไป เราก็ต้องไป.




*กิจกรรมสุริยะ
(solar activities) คือปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนดวงอาทิตย์ ได้แก่

- การลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ (solar flare) เป็นการปะทุของก๊าซร้อนภายในดวงอาทิตย์เมื่อมีช่องโหว่ที่ผิวดวงอาทิตย์ ทำให้ก๊าซร้อนกว่า 20,000 องศาเซลเซียสปะทุออกมาที่ดวงอาทิตย์ซึ่งปกติมีอุณหภูมิประมาณ 6,000 องศาเซลเซียส เห็นเป็นแสงเจิดจ้าที่ผิวดวงอาทิตย์

- โพรมิเนนซ์ (prominence) เป็นพวยก๊าซที่พุ่งออกมา แล้วพุ่งกลับเหมือนมีท่อเป็นทางเดิน ซึ่งท่อดังกล่าวจริงๆ แล้ว คือสนามแม่เหล็กที่บังคับให้พวยก๊าซพุ่งกลับสู่ดวงอาทิตย์ ขนาดของพวยก๊าซใหญ่กว่าโลกและดวงจันทร์

- ลมสุริยะ (solar wind) เป็นอนุภาคมีประจุที่ส่งมาจากดวงอาทิตย์พร้อมสนามแม่เหล็กระยะสั้น หรือเรียกว่าพายุสุริยะเมื่อมีความรุนแรงกว่าและอนุภาคถูกส่งพุ่งออกไปทั่วๆ การพ่นมวลจากดวงอาทิตย์ (coronal mass ejection: CME) เป็นอนุภาคของดวงอาทิตย์ที่พุ่งออกมาเป็นลำ ด้วยความเร็วสูงและมีทิศทางค่อนข้างแคบ เมื่อพุ่งมาแต่ละครั้งสามารถกลบโลกได้มิด โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมาโลกได้รับลำอนุภาคนี้ ส่งผลให้การสื่อสารขัดข้องและสำนักข่าวบีบีซีได้ออกประกาศเตือนถึงเรื่องนี้ ด้วย

- จุดมืด (sunspots) เป็นจุดดำบนดวงอาทิตย์ ค้นพบครั้งแรกเมื่อประมาณ 400 ปีก่อนโดย กาลิเลโอ กาลิเลอิ (Galileo Galilei) หลังจากเขาประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์แล้วส่องขึ้นไปบนฟ้า โดยที่ยังไม่ทราบว่าการส่องดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่านั้นเป็นอันตราย ข้อ ดีของจุดมืดคือทำให้ทราบว่าดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเอง และจุดมืดนี้มีหลายจุดเพิ่มขึ้น-ลดลงอยู่เสมอ

รู้ทัน

รู้ทัน 7 กลยุทธ์ “วิทยาศาสตร์ปลอม”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 พฤษภาคม 2553 01:02 น.
ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ
ความตื่นตระหนกเรื่องวันหายนะของโลกนั้น ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจาก “วิทยาศาสตร์ปลอมๆ” ที่มีตั้งแต่ความเข้าใจในวิทยาศาสตร์ที่คลาดเคลื่อน มายาคติ วิทยาศาสตร์เทียม ไปจนถึงการหลอกลวงต้มตุ๋น ซึ่งมีการหลอกล่อด้วยกันถึง 7 กลยุทธ์

ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ นักวิชาการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่ง ชาติ (สวทช.) กล่าวในการเสวนา “ตอบทุกคำถามสังคมไทยที่กังวลต่อ การล่มสลายของโลก” เมื่อวันที่ 25 พ.ค.53 ณ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าวิทยาศาสตร์จอมปลอมนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่าไสยศาสตร์ เหมือนเราเห็นคนใส่ชุดกราวน์ในโรงพยายาลย่อมเข้าใจว่าเป็นหมอ เป็นของปลอมที่ปนมากับเสื้อคลุมของนักวิทยาศาสตร์

วิทยาศาสตร์จอมปลอมมีหลายระดับ ตั้งแต่ การเข้าใจแนวคิด วิทยาศาสตร์แบบผิดๆ (Misconception) บางครั้งเป็นการจับแพะชนแกะ ซึ่งเมื่อฝังรากลึกทำให้กลายเป็นมายาคติ (Myth) ถัดมาคือวิทยา ศาสตร์เทียม (pseudo-science) ซึ่งเป็นระบบความคิด ที่อ้างว่าเป็นวิทยาศาสตร์ เช่น โหราศาสตร์ซึ่งมีการเคลื่อนที่ของดวงดาวจริง แต่มีการตีความที่ไม่ใช่หลักสถิติ และรุนแรงสุดคือการหลอกลวงต้ม ตุ๋น (Fraud)

ทั้งนี้ กลยุทธ์ในการเผยแพร่วิทยาศาสตร์จอมปลอมนั้น มักเป็นรูปแบบเดิมๆ ซึ่งแบ่งได้เป็น 7 กลยุทธ์ คือ

1.นำเสนอผลิตภัณฑ์หรือลัทธิความเชื่อที่มีมีผู้คนสนใจจำนวนมาก โดยอ้างว่าสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ ใช้ศัพท์วิทยาศาสตร์ฟังยาก นำคำศัพท์ ทฤษฎีและผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์มาใช้อย่างสับสน

2.สร้างความน่าเชื่อถือด้วยการอ้างหลักฐานสนับสนุน เช่น ได้รับสิทธิบัตร ทั้งๆ ที่สิทธิบัตรคือการอ้างของผู้ขอว่าสิ่งที่ยื่นจดนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งเราต้องถามว่าสิทธิบัตรที่ได้รับนั้น “อ้างอะไร”

3.ใช้การสาธิตเพื่อโน้มน้าว เช่น สาธิตน้ำมันชนิดใหม่โดยขับรถยนต์ทดสอบ 200-300 เมตร แต่การทดสอบน้ำมันจริงๆ ต้องวิ่งไกล 120,000 กิโลเมตร

4.อ้างความสำเร็จโดยอิงเรื่องเล่าหรือประสบการณ์

5.อ้างบุคคลที่กลุ่มเป้าหมายให้การยอมรับ

6.อิงความเชื่อที่ยึดถือกันทั่วไป เช่น ความเชื่อว่าเครื่องมือที่ดูไฮเทคและมีราคาแพงนั้นน่าจะใช้งานได้ดี เป็นต้น

และ 7.ตอบโต้ข้อวิพากษ์วิจารณ์โดยมุ่งโจมตีบุคคล แทนที่จะตอบโต้ด้วยหลักวิชาการ

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Aiteng

"ไอ้เท่ง" ติดท็อป 10 สุดยอดการค้นพบสปีชีส์ใหม่ของโลก แห่งปี 2009
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 พฤษภาคม 2553 16:17 น.
สิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ ของโลกที่ได้รับคัดเลือกให้เป็น 10 สุดยอดการค้นพบ
สปีชีส์ใหม่แห่งปี 2009 (ภาพจาก IISE)
นานาชาติยก "ไอ้เท่ง" ทากทะเลชนิดใหม่ของโลก ที่พบในไทยให้ติด 1 ใน 10 สุดยอดการค้นพบสปีชีส์ใหม่แห่งปี 2009 พร้อมกับหม้อข้าวหม้อแกงลิงยักษ์ในฟิลิปปินส์ แมงมุมสีทองจากมาดากัสการ์ จากหลายพันสปีชีส์ที่มีรายงานการค้นพบในปีเดียวกัน

สถาบันนานาชาติเพื่อการสำรวจสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ หรือไอไอเอสอี (International Institute for Species Exploration: IISE) มหาวิทยาลัยแอริโซนาสเตต (Arizona State University) สหรัฐอเมริกา และคณะกรรมการนักอนุกรมวิธานนานาชาติ ไดัคัดเลือกสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่จากทั่วโลกกว่าหลายพันสปีชีส์ให้เหลือเพียง 10 สปีชีส์ เพื่อขึ้นบัญชีสุดยอดการค้นพบสปีชีส์ใหม่แห่งปี 2009 ซึ่งได้มีการประกาศผลการคัดเลือกไปเมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพพอดี และมีสปีชีส์ใหม่ที่พบในไทยได้ติดอันดับโลกด้วย

"คณะกรรมการตัดสินแต่ละคนมีอิสระในการคัดเลือกและกำหนดเกณฑ์การ ตัดสินของตัวเองจากคุณลักษณะที่แปลกใหม่หรือความจริงที่น่าประหลาดใจ รวมไปถึงชื่ออันแปลกประหลาดของสปีชีส์นั้นๆ" เควนติน วีลเลอร์ (Quentin Wheeler) ผู้อำนวยการสถาบันไอไอเอสอี และนักกีฏวิทยาจากสถาบันชีววิทยาศาสตร์ (School of Life Sciences) เผยไว้ในไลฟ์ไซน์ด็อตคอม

ทั้งนี้ การจัดอันดับ 10 สุดยอดการค้นพบสปีชีส์ใหม่แห่งปี 2009 ในปีนี้นับเป็นปีที่ 3 แล้ว ซึ่งในจำนวนนั้นมี "ทากทะเล" ชนิดใหม่ของโลก ที่ค้นพบในประเทศไทยรวมอยู่ด้วย โดยสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ทั้ง 10 สปีชีส์ มีดังนี้ (ไม่เรียงอันดับ)

แมงมุมสีทองสปีชีส์ ใหม่ที่พบบนเกาะมาดาร์กัสการ์
เป็นแมงมุมสีทองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และสามารถถัก
ทอใยแมงมุมได้ใหญ่กว่า 1 เมตร (ภาพจาก IISE)
1. แมงมุมสีทองของโคแมค (Komac's golden orb spider) หรือชื่อวิทยาศาสตร์ว่า เนฟิลา โคมาชิ (Nephila komaci) เป็นสปีชีส์แรกในสกุลเนฟิลาที่ถูกกล่าวขานถึงมาตั้งแต่เมื่อปี 1879 แต่เพิ่งจำแนกได้ว่าเป็นแมงมุมสปีชีส์ใหม่ตามหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์และได้ รับการตีพิมพ์รายงานการค้นพบเมื่อปี 2009 โดย เอ็ม คุนต์เนอร์ (M. Kuntner) นักวิจัยของสถาบันชีววิทยาแห่งวิทยาลัยศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์สโลวีเนียน (Institute of Biology of the Slovenian Academy of Sciences and Arts) และ โจนาธาน คอดดิงตัน (Jonathan Coddington) นักวิทยาศาสตร์จากพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาสมิธโซเนียน (Smithsonian's National Museum of Natural History)

แมงมุมชนิดนี้สามารถถักทอใยแมงมุมที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ใหญ่กว่า 1 เมตร โดยที่แมงมุมตัวเมียที่สร้างใยขึ้นมานั้นเมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดยาวประมาณ 3.8-4.0 เซนติเมตรเท่านั้น ขณะที่แมงมุมตัวผู้มีขนาดเพียง 0.8-09 เซนติเมตร หรือเล็กกว่าราว 5 เท่า มีถิ่นอาศัยอยู่ในมาดากัสการ์ ซึ่งคุนต์เนอร์ตั้งชื่อสปีชีส์ให้ว่า โคมาชิ เพื่อรำลึกถึงแอนเดรจ โคแมค (Andrej Komac) นักวิทยาศาสตร์ผู้ที่เป็นเพื่อนรักที่สุดของเขาที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ในระหว่างที่พวกเขากำลังศึกษาวิจัยแมงมุมชนิดนี้

ปลาแดร็กคูลา ตัวเล็กจิ๋ว แต่มีเขี้ยวยาวคล้ายค้างคาว
ดูดเลือดในตำนาน (ภาพจาก IISE)
2. ปลาแดร็กคูลา (Dracula fish) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า แดนิโอเนลลา แดร็กคูลา (Danionella dracula) เป็นปลาน้ำจืดที่พบในแม่น้ำ Sha Du Zup รัฐคะฉิ่น สหภาพพม่า ตัวผู้มีเขี้ยวยาวแหลมคมคล้ายสุนัขหรือค้างคาวดูดเลือดในตำนาน และนี่ยังเป็นการรายงานการค้นพบอวัยวะที่มีลักษณะคล้ายฟัน (oral teeth-like structures) ของสัตว์ในวงศ์ไซพรินิเด (Cyprinidae) หรือวงศ์ปลาตะเพียน ซึ่งเป็นวงศ์ของปลาน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ฟองน้ำเพชฌฆาต ฟองน้ำสปีชีส์ใหม่ที่มีโครงสร้างแตกต่างจากฟองน้ำ
ชนิดอื่นๆ (ภาพจาก IISE)
3. ฟองน้ำเพชฌฆาต (killer sponge) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า คอนโดรคลาเดีย (เมลิเดอร์มา) เทอร์บิฟอร์มิส [Chondrocladia (Meliiderma) turbiformis] อยู่ในวงศ์คลาโดไรซิเด (Cladorhizidae) เป็นวงศ์ฟองน้ำในทะเลลึกที่กินสัตว์เป็นอาหาร มีความหลากหลายสูง พบในทะเลเปิดทั่วไป โดยเฉพาะในมหาสมุทรแปซิฟิก พบครั้งแรกในประเทศนิวซีแลนด์ มีลักษณะพิเศษคือโครงสร้างส่วนของสปิคูลไม่เหมือนฟองน้ำชนิดอื่น (เป็นแบบ trochirhabd spicule)

"ไอ้เท่ง" ทากทะเลสปีชีส์ใหม่ของโลกพบที่ป่าชายเลนในปากพนัง
จ.นครศรีธรรมราช มีตัวสีดำและหน้าตาละม้ายคล้ายกับ "ไอ้เท่ง" ตัวละคร
ในหนังตะลุงของปักษ์ใต้บ้านเรา (ภาพจาก IISE)
4. ไอ้เท่ง (Aiteng) เป็นทากทะเลสปีชีส์ใหม่และวงศ์ใหม่ของโลกด้วย โดยจัดอยู่ในวงศ์ไอเทงกิเด (Aitengidae) ถูกค้นพบเมื่อปี 2009 บริเวณร่องน้ำในป่าชายเลนที่อ่าวปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช โดยทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ที่นำโดย ดร. ซี สเวนเนน (Dr. C.Swennen) นักวิจัยจากประเทศเนเธอร์แลนด์ และนายสมศักดิ์ บัวทิพย์ นักวิทยาศาสตร์ จากแผนกชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ไอ้เท่งมีขนาดประมาณ 6-17 มิลลิเมตร ลำตัวมีสีดำ กินแมลงในระยะดักแด้เป็นอาหาร ซึ่งแตกต่างจากทากทะเลวงศ์อื่นๆ ที่มักกินสาหร่ายเป็นอาหาร สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ คล้ายกับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำทั่วๆไป ซึ่งความพิเศษนี้พบได้น้อยมากในทากทะเลที่มีการค้นพบหรือมีการศึกษาอยู่แล้ว ในปัจจุบัน และทีมวิจัยได้ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ให้ว่า ไอเทง เอเตอร์ (Aiteng ater) ซึ่งชื่อสกุล Aiteng ตั้งตามจากชื่อตัวหนังตะลุงของปักษ์ใต้ที่ชื่อ "ไอ้เท่ง" ที่มีลักษณะตัวสีดำและมีตาคล้ายกับสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ ส่วนชื่อสปีชีส์ ater มาจากภาษาลาติน หมายถึง สีดำ (ข้อมูลจากเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์)

ตัวระเบิดเขียว หนอนทะเลชนิดใหม่ สร้างระเบิดเรืองแสงสีเขียวได้ไว้
ป้องกันตัวเอง (ภาพจาก IISE)
5. ระเบิดเขียว (Green bombers) พบที่อ่าวมอนเตอเรย์ (Monterey Bay) มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า สวิมา บอมบิวิริดิส (Swima bombiviridis) เป็นหนอนทะเลชนิดหนึ่งที่สามารถทิ้งระเบิดเรืองแสงสีเขียวที่ดัดแปลงมา จากอวัยวะส่วนเหงือกเพื่อป้องกันตัวเองจากศัตรูคู่อาฆาต

ปลากบไซเดลิกา ปลากบสปีชีส์ใหม่ หน้าแบนราบ มีสีสันลวดลาย
ชวนเวียนหัว (ภาพจาก IISE)
6. ปลากบไซเซเดลิกา (Psychedelic frogfish) หรือชื่อวิทยาศาสตร์ว่า ฮิสทิโอฟไรน์ ไซเซเดลิกา (Histiophryne psychedelica) ซึ่งเป็นปลากบที่มีรูปลักษณ์อันน่าพิศวงงงงวยที่ดูแล้วชวนประสาทหลอน และมีใบหน้าแบนราบแตกต่างจากปลากบชนิดอื่นๆ พบครั้งแรกที่ประเทศอินโดนีเซีย

ปลาไฟฟ้าที่นักวิทยา ศาสตร์ใช้เป็นต้นแบบศึกษาการสร้างกระแสไฟฟ้า
ในร่างกายของสิ่งมีชีวิต (ภาพจาก IISE)
7. ปลาไฟฟ้า (Electric fish หรือ Omars' banded knifefish) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า จิมโนตัส โอมาโรรัม (Gymnotus omarorum) พบในประเทศอุรุกวัยซึ่งตั้งชื่อตามของ โอมาร์ มาคาดาร์ (Omar Macadar) และโอมาร์ ทรูจิลโล-เคนอซ (Omar Trujillo-Cenoz) สองนักวิทยาศาสตร์ผู้ริเริ่มศึกษาการสร้างกระแสไฟฟ้าของปลาในสกุลจิมโนตัส ซึ่งปลาสปีชีส์นี้ถูกใช้เป็นต้นแบบในการศึกษาเกี่ยวกับสรีรวิทยาและการสื่อ สารด้วยกระแสไฟฟ้ามาเป็นเวลาหลายสิบปี โดยก่อนหน้านั้นนักวิทยาศาสตร์ในอุรุกวัยเคยอ้างผิดว่าเป็นปลาสปีชีส์ จิ มโนตัส คาราโป (Gymnotus carapo)

หม้อข้าวหม้อแกงลิง ของแอทเทนเบอเรอห์ เป็นหม้อข้าวหม้อแกงลิง
ที่ใหญ่ที่สุดและใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (ภาพจาก IISE)
8. หม้อข้าวหม้อแกงลิงของแอทเทนเบอเรอห์ (Attenborough's Pitcher) ซึ่งเป็นพืชกินแมลงในกลุ่มหม้อข้าวหม้อแกงลิงสปีชีส์ใหม่ และที่มีขนาดใหญ่ที่สุดประมาณ 30x16 เซนติเมตร หรือประมาณลูกอเมริกันฟุตบอล พบบนยอดเขาวิคตอเรีย (Mount Victoria) บนเกาะพาลาวัน ประเทศฟิลิปปินส์ ได้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า เนเพนธีส แอทเทนเบอเรอห์อี (Nepenthes attenboroughii) ตั้งตามชื่อของเซอร์เดวิด แอทเทนเบอเรอห์ (Sir David Attenborough) นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษและผู้นำเสนอข่าวสารความรู้ด้านธรรมชาติวิทยาผ่าน สื่อโทรทัศน์ของอังกฤษมาเป็นเวลาหลายสิบปี และเป็นพืชถิ่นเดียวที่คณะกรรมการมีความเห็นว่าพืชสปีชีส์ใหม่ชนิดนี้ควรได้ รับการขึ้นบัญชีเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งด้วย

หัวมันแองโกนา พบบนเกาะมาดากัสการ์ มีลักษณะแปลกประหลาดเป็นพวง
คล้ายนิ้วมือ จัดเป็นพืชอีกชนิดที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (ภาพจาก IISE)
9. หัวมันประหลาดแองโกนา (Angona) พบบนเกาะมาดากัสการ์ เป็นหัวมันที่กินได้ มีลักษณะเป็นพวงคล้ายนิ้วมือ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า ไดออสโคเรีย ออเรนจีอานา (Dioscorea orangeana) และจัดเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง เพราะถูกประชาชนเก็บเกี่ยวไปเป็นอาหารจำนวนมากโดยที่ไม่ได้มีการอนุรักษ์ ถิ่นกำเนิดเอาไว้

เห็ดฟัลลิก ลักษณะละม้ายคล้ายกับอวัยวะเพศชาย (ภาพจาก IISE)
10. เห็ดฟัลลิก (Phallic mushroom) เป็นเห็ดสปีชีส์ใหม่ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายอวัยวะเพศชาย มีขนาดยาวประมาณ 5 เซนติเมตร พบบนเกาะเซาตูเม (São Tome) ในแอฟริกา ได้รับการตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ฟัลลัส ดรูเวสซี (Phallus drewesii) เพื่อเป็นเกียรติแก่ ดร.โรเบิร์ต ดรูเวส (Dr. Robert Drewes) นักวิทยาศาสตร์สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งแคลิฟอร์เนีย (California Academy of Sciences) ผู้อุทิศตนให้กับการศึกษาความความหลากหลายทางชีวภาพในแอฟริกาเป็นเวลา มากกว่า 30 ปี