รู้จัก “สัตว์ประจำชาติอาเซียน” ก่อนก้าวเข้าสู่เออีซี ดูภาพชุดจาก Manager Multimedia
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 กันยายน 2556 15:04 น.
“ช้าง” สัตว์ประจำชาติไทย
ในปี พ.ศ. 2558 ก็จะก้าวสู่การเปิดประตูเข้าสู่สมาคมอาเซียน หรือ AEC (ASEAN Economic Community) และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เราจึงต้องเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ของประเทศในประชาคมอาเซียนในด้านต่างๆ โดยวันนี้เราจะพาไปรู้จักกับสัตว์ประจำชาติอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ
ประเทศที่เป็นสมาชิกประชาคมอาเซียนมีด้วยกันอยู่ 10 ประเทศ ประกอบไปด้วย ไทย ลาว เมียนมาร์ กัมพูชา เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และบรูไน ส่วนประเทศไหนจะมีสัตว์ชนิดใดเป็นสัตว์ประจำชาติกันบ้างนั้น ตามไปอ่านกันเลย
“เสือ” สัตว์ประจำชาติของประเทศเมียนมาร์
“ประเทศไทย”
“ช้าง” เป็นสัตว์ประจำชาติไทย ช้างถือเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมือง เนื่องจากคนไทยมีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับช้างมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ครั้งหนึ่งบนธงชาติไทยก็เคยมีรูปช้างปรากฎอยู่บนผืนธงสีแดง กระทั่งในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2541 คณะรัฐมนตรีในสมัยนั้นได้มีมติเห็นชอบประกาศให้วันที่ 13 มีนาคมของทุกปี เป็นวันอนุรักษ์ช้างไทย เพื่อให้คนไทยตระหนักถึงความสำคัญและการดำรงอยู่ของช้างไทย
“มังกรโคโมโด” สัตว์ประจำชาติอินโดนีเซีย
“เมียนมาร์”
“เสือ” เป็นสัตว์ประจำชาติของประเทศเมียนมาร์ ลักษณะของเสือสามารถบ่งบอกได้ถึงความอุดมสมบูรณ์ของประเทศเมียนมาร์
“อินโดนีเซีย”
“มังกรโคโมโด” เป็นสัตว์ประจำชาติอินโดนีเซีย มังกรโคโมโดเป็นสัตว์เลื้อยคลานจำพวกกิ้งก่า (มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก) มังกรโคโมโดถือเป็นสัตว์เลื้อยคลานใกล้สูญพันธุ์ สามารถพบได้เฉพาะบนเกาะโคโมโด (Komodo Island) ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ เนื่องจากเป็นเกาะภูเขาไฟกลางทะเล
“กระบือ” สัตว์ประจำชาติฟิลิปปินส์
“ฟิลิปปินส์”
“กระบือ” เป็นสัตว์ประจำชาติฟิลิปปินส์ กระบือในภาษาตากาล็อกเรียกว่า คาราบาว สำหรับในประเทศฟิลิปปินส์เลี้ยงกระบือเพื่อใช้แรงงานในไร่นา หรือใช้สำหรับการชักลากซุงออกจากป่า โดยลักษณะนิสัยพฤติกรรมของกระบือนั้น เมื่อว่างเว้นจากการถูกใช้งานมักจะชอบนอนแช่น้ำหรือแช่ปลักโคลนเพื่อเป็นการผ่อนคลายความร้อนของร่างกาย
“เสือโคร่ง” สัตว์ประจำชาติบรูไน
“บรูไน”
“เสือโคร่ง” เป็นสัตว์ประจำชาติบรูไน เสือโคร่งหรือเสือลายพาดกลอน เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม จัดเป็นสัตว์กินเนื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera tigris ในวงศ์ Felidae จัดเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้ และเป็นเสือสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดด้วย (ขณะที่บางข้อมูลว่า บรูไน ไม่มีสัตว์ประจำชาติ)
“เสือมลายู” สัตว์ประจำชาติมาเลเซีย
“มาเลเซีย”
“เสือมลายู” เป็นสัตว์ประจำชาติมาเลเซีย เสือมลายูมีถิ่นฐานอยู่ทางตอนกลางและตอนใต้ของคาบสมุทรมลายู โดยจะเห็นสัญลักษณ์ของเสือมลายูได้จากบนตราแผ่นดินของประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นการแสดงถึงพละกำลังและความกล้าหาญของชาวมาเลเซีย อีกทั้งยังใช้เป็นชื่อเล่นของฟุตบอลทีมชาติมาเลเซียอีกด้วย
“กูปรี” หรือ “โคไพร” สัตว์ประจำชาติของประเทศกัมพูชา
“กัมพูชา”
“กูปรี” หรือ “โคไพร” เป็นสัตว์ประจำชาติของประเทศกัมพูชา (เจ้านโรดมสีหนุแห่งกัมพูชาทรงประกาศให้กูปรีเป็นสัตว์ประจำชาติของกัมพูชา) กูปรีเป็นสัตว์จำพวกกระทิงและวัวป่า มักอยู่รวมเป็นฝูง โดยฝูงหนึ่งอาจมากถึง 20 ตัว กูปรีจัดว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่พบเห็นได้ยากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก พบได้ทางเหนือของประเทศกัมพูชา ทางใต้ของลาว ทางตะวันตกของเวียดนาม และทางตะวันออกของไทย ปัจจุบันไม่มีการรายงานการพบมานานแล้ว เชื่อว่าอาจจะยังพอมีหลงเหลืออยู่ในชายแดนไทยกับกัมพูชาแถบจังหวัดศรีสะเกษ ราวปี พ.ศ. 2507 มักจะมีข่าวว่าพบสัตว์ลักษณะคล้ายกูปรีอยู่บ่อยๆ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันที่น่าเชื่อถือพอ นอกจากคำเล่าลือเท่านั้น
“ช้าง” สัตว์ประจำชาติประเทศลาว
“ลาว”
“ช้าง” เป็นสัตว์ประจำชาติประเทศลาว ช้างถือเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองที่มีความผูกพันกับชาวลาวเป็นอย่างยิ่ง ในอดีตลาวได้รับการเรียกขานว่าเป็นเมืองล้านช้าง แต่ปัจจุบันประชากรช้างในลาวอยู่ในภาวะวิกฤต รัฐบาลลาวจึงได้ฟื้นฟูและอนุรักษ์ช้างลาวไว้ โดยการจัดงานบุญช้างขึ้นเป็นประจำทุกปี
“เวียดนาม”
“กระบือ” หรือควาย เป็นสัตว์ประจำชาติประเทศเวียดนาม สามารถพบเห็นได้ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม
“กระบือ” สัตว์ประจำชาติประเทศเวียดนาม
“สิงคโปร์”
“สิงโต” เป็นสัตว์ประจำชาติของประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อประเทศ มาจากคำว่า สิงหปุระ (Singapura) เป็นภาษาสันสกฤต หมายถึงเมืองแห่งสิงโต ตามตำนานเล่าขานเจ้าผู้ครองนครแห่งปาเล็มบัง ปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของอินโดนีเซีย ได้ออกเดินทางแสวงหาดินแดนใหม่เพื่อสร้างเมือง แต่เรือก็อับปางลง พระองค์ได้ว่ายน้ำขึ้นฝั่ง แล้วก็เห็นสัตว์ชนิดหนึ่งมีรูปร่างลำตัวสีแดงหัวดำหัวคล้ายสิงโตหน้าอกขาว พระองค์จึงถามคนติดตามว่า สัตว์ตัวนั้นคืออะไรคนติดตามก็ตอบว่ามันคือสิงโต พระองค์จึงเปลี่ยนชื่อเกาะแห่งนั้นเสียใหม่ว่า สิงหปุระ ซึ่งจริงๆ แล้วสัตว์ชนิดนั้นอาจเป็นเสือ เพราะไม่มีหลักฐานว่ามีการพบสิงโตบนเกาะมาก่อน แต่ประเทศสิงคโปร์และสิงโตก็มีความเกี่ยวข้องกันนับจากนั้นเป็นต้นมา
ปัจจุบันบนตราแผ่นดินสิงคโปร์ มีสิงโตปรากฏอยู่เคียงคู่กับเสือโคร่ง โดยสิงโตด้านขวานั้นแทนประเทศสิงคโปร์ ส่วนเสือโคร่งด้านซ้ายนั้นแทนประเทศมาเลเซียแสดงถึงความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ของเกาะสิงคโปร์กับมาเลเซีย โดยสิงโตนั้นเป็นสัญลักษณ์แทนความกล้าหาญ พละกำลังและความดีเลิศ
“สิงโต” สัตว์ประจำชาติของประเทศสิงคโปร์
นี่ก็เป็นสัตว์ประจำชาติของแต่ละประเทศในประชาคมอาเซียน จะเห็นได้ว่าบางประเทศอาจเป็นสัตว์ชนิดเดียวกัน แต่แตกต่างด้วยที่มาและความหมาย ซึ่งสัตว์ทั้งหมดนี้ก็สามารถบ่งบอกถึงสัญลักษณ์แต่ละประเทศได้เป็นอย่างดี
วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556
วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ย้อน 5 อันดับ "น้ำมันรั่ว" ครั้งใหญ่ของโลก
ย้อน 5 อันดับ "น้ำมันรั่ว" ครั้งใหญ่ของโลก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 สิงหาคม 2556 18:16 น.
ความต้องการน้ำมันดิบมาใช้ เป็นเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้เกิดการสำรวจและขุดเจาะน้ำมันดิบขึ้นมาใช้เป็นจำนวนมากขึ้น และแน่นอนว่า แม้จะเป็นเทคโนโลยีที่ดีขนาดไหนในการบริหารจัดการแหล่งน้ำมันต่างๆ แต่ความเกิดความผิดพลาดก็มีให้เห็นอยู่เนืองๆ
หากย้อนดูประวัติศาสตร์การรั่วของน้ำมันดิบทั่วโลกผ่านแผนที่ด้าน แล้วก็ถือว่าอุบัติเหตุเหล่านี้มีบ่อยครั้ง และกินพื้นที่ความเสียหายไม่น้อยเลย (จากจุดสีดำ) ส่วนจุดสีแดงคือพื้นที่การเกิดเหตุล่าสุดที่ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมราย รอบอย่างมีนัยสำคัญ
ผู้จัดการวิทยาศาสตร์ได้ประมวลเหตุการณ์น้ำมันรั่วที่รุนแรงสุดใน ประวัติศาสตร์การนำน้ำมันดิบมาใช้งานของมนุษย์ใน 5 อันดับ โดยเรียงจากปริมาณการรั่วไหลของน้ำมัน ดังนี้
1. สงครามอ่าว
เมื่อไหร่ : 23 มกราคม 1991
ที่ไหน : อ่าวเปอร์เชีย คูเวต
ปริมาณการรั่ว : 136 - 205 ล้านตัน / 1-1.5 พันล้านบาร์เรลส์
มูลค่าความเสียหาย : 540 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สถานการณ์ :
เมื่อกองทัพอิรักที่กำลังจะพ่ายแพ้ ได้ทิ้งน้ำมันดิบของคูเวตลงในอ่าวเปอร์เซีย เพื่อสกัดไม่ให้นาวิกโยธินสหรัฐฯ ยกพลขึ้นบกมาปะทะได้ พร้อมทั้งเผาบ่อน้ำมันอีก 600 บ่อ ทำให้น้ำมันดิบกว่า 900 ล้านลิตรที่ไหลลงทะเล ส่งผลให้ผืนน้ำแถวนั้นมีน้ำมันหนา 4 นิ้ว ลอยกระจายเต็มชายฝั่ง กินพื้นที่ 400 ตารางกิโลเมตรใหญ่กว่าเกาะฮาวาย นับได้ว่าเป็นเหตุการณ์น้ำมันรั่วที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์
เคลียร์ยังไง :
กองกำลังทหารพันธมิตรได้จัดการปิดผนึกบ่อน้ำมันที่ถูกเปิดหลายแห่ง ด้วยระเบิดสมาร์ทบอมบ์ (smart bombs) แต่กว่าจะกู้ตรงจุดเหล่านี้ได้ต้องรอจนกระทั่งหลังสงคราม
ขณะเดียวกันที่ชายฝั่งทะเลก็มีการทุ่นน้ำมัน (boom) แนวสีส้มเพื่อซับน้ำมันยาว 38 กิโลเมตร พร้อมด้วยเครื่องเก็บคราบน้ำมัน (skimmer) ดูดน้ำมันออกจากน้ำ ซึ่งติดตั้งไว้ 21 เครื่อง และใช้รถบรรทุกขนน้ำมันที่ดูดขึ้นมาได้ประมาณ 200 ล้านลิตร
ความเสียหายที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นเหตุการณ์น้ำมันรั่วครั้งใหญ่ของโลก แต่รายงานของคณะกรรมาธิการสมุทรศาสตร์ระหว่างรัฐบาล (Intergovernmental Oceanographic Commission, IOC) ยูเนสโก ได้ระบุถึงความเสียหายของระบบนิเวศน์ปะการัง และการประมงท้องถิ่นว่า หากเป็นความเสียหายระยะยาวนั้นไม่ได้มากมายนัก
อีกทั้ง รายงานยังสรุปว่า น้ำมันครึ่งหนึ่งที่รั่วลงทะเลนั้นระเหยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ และ 1 ใน 8 คือปริมาณที่ดูดขึ้นมาได้ ส่วนอีก 1 ใน 4 ไหลไปตามชายฝั่งโดยเฉพาะชายฝั่งของซาอุดิอาระเบีย
อย่างไรก็ดี รายงานการวิจัยยุคหลังปี 2000 ก็เริ่มมีข้อมูลที่ขัดแย้ง เพราะชายฝั่งหลายพื้นที่ที่ไม่ได้มีการกำจัดคราบน้ำมัน แม้จะผ่านมานับสิบปีแล้ว แต่มลพิษเหล่านั้นได้ทำลายระบบนิเวศน์อย่างมีนัยสำคัญ
2. เลควิว กัชเชอร์ (Lakeview Gusher)
เมื่อไหร่ : 14 มีนาคม 1910
ที่ไหน : เคิร์น เคาน์ตี มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา (Kern County, California)
ปริมาณการรั่ว : 120 ล้านตัน / 9 ล้านบาร์เรล
มูลค่าความเสียหาย : ยังไม่เคยประเมินค่า
สถานการณ์ :
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 100 กว่าปีก่อน นับเป็นอุบัติเหตุน้ำมันรั่วครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ เมื่อบริษัทเลควิวออยคอมพานี ได้ขุดเจาะหลุมที่ 1 เพราะเชื่อว่ามีเพียงก๊าซธรรมชาติ พร้อมๆ กับเทคโนโลยีการขุดเจาะสำรวจสมัยนั้นที่ไม่มีมาตรการป้องกันหากกรณีการ ระเบิดพุ่งออกมาที่ปากหลุม
ที่หลุมดังกล่าวมีน้ำมันดิบอยู่ด้วย และเมื่อเจาะไปถึงก็ทำให้น้ำมันดิบพุ่งออกมาพร้อมกับการระเบิดที่ปากบ่อ ทำให้เกิดน้ำพุน้ำมันพุ่งออกมาแบบหยุดไม่ได้ มีน้ำมันดิบประมาณ 18,000 บาร์เรลต่อวันพุ่งออกมาเป็นเวลายาวนานถึง 18 เดือน
เคลียร์ยังไง :
ตั้งแต่วันแรกที่น้ำพุน้ำมันดิบพุ่งออกมา เจ้าหน้าที่ได้จัดกระสอบทรายก่อเป็นเขื่อนกั้นบริเวณไว้ พร้อมด้วยท่อยาว 4 กิโลเมตรรองรับเมื่อน้ำมันดิบล้นจากเขื่อน ให้ไหลเข้าสู่ถังเก็บน้ำมัน จึงทำให้สามารถเก็บน้ำมันที่พุ่งออกมาได้ประมาณ 5 ล้านบาร์เรล ตลอดระยะเวลา 544 วันที่เกิดเหตุ ส่วนน้ำมันที่เหลืออีกประมาณ 4 ล้านบาร์เรลก็ระเหยและซึมลงดินไป
3. ดีปวอเทอร์ ฮอไรซอน (Deep Water Horizon)
เมื่อไหร่ : 22 เมษายน 2010
ที่ไหน : อ่าวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา (Gulf of Mexico)
ปริมาณการรั่ว : 470,770 ตัน / 4.1-4.9 ล้านบาร์เรลส์
มูลค่าความเสียหาย : อาจจะมากกว่า 10 ล้านล้านเหรียญหสรัฐฯ
สถานการณ์ :
แท่นขุดเจาะอันทันสมัยที่ใช้หุ่นยนต์บังคับบนผิวน้ำของดีปวอเทอร์ ฮอไรซอน อันเป็นสัมปทานของบริติชปีโตรเลียม (บีพี) เกิดระเบิดขึ้น เพราะแก๊สและเชื้อเพลิงรั่วเข้าไปในท่อ ขณะกำลังขุดเจาะน้ำมันดิบจากระดับความลึก 1.5 กิโลเมตร ทำให้เพลิงลุกไหม้ ท่อแตก และแท่นขุดเจาะจมลงทะเลหลังจากระเบิด 36 ชั่วโมง โดยมีคนงานเสียชีวิต 11 ราย และบาดเจ็บ 17 คน พร้อมๆ กับน้ำมันดิบที่ทะลักออกมา
ประมาณการว่าน้ำมันดิบรั่วไหลจากช่องเปิดใต้ทะเลก้นอ่าวเม็กซิโกเป็น เวลานาน 87 วัน กินพื้นที่ปนเปื้อน 6,500 - 24,000 ตารางกิโลเมตร น้ำมันบางจุดหนาถึง 91 เมตร พร้อมกับรายงานว่าสัตว์ 8,000 ตัว ตายภายใน 6 เดือนหลังจากเกิดเหตุการณ์ นับเป็นการรั่วไหลนอกชายฝั่งครั้งใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา
เคลียร์ยังไง :
บีพีเลือกใช้วิธีการอัดโคลนลงไปอุดรอยรั่วของท่อน้ำมันแต่ไม่สำเร็จ จึงตัดท่อน้ำมันที่มีรอยแตกออกไป แล้วนำฝาครอบปิด พร้อมทั้งขนถ่ายน้ำมันที่รั่วไหวออกมาสู่ผิวน้ำ
ระหว่างแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ในส่วนของน้ำมันที่ลอยอยู่ในทะเล ได้มีการนำเรือติดตั้งเครื่องเก็บคราบน้ำมันมากกว่า 2,000 เครื่อง และวางแนวทุ่นซับน้ำมัน แต่ก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควร เมื่อคลื่นลมแรงทำให้น้ำมันลอดผ่านทุ่นไปได้ พร้อมทั้งใช้สารเคมีโปรยไปตามบริเวณคราบน้ำมัน ทว่า 2 ปีหลังจากโรยสารเคมี มีผลการศึกษาพบว่าสารคอเรกซิต (Corexit) ที่ใช้นี้เพิ่มความเป็นพิษในน้ำมันมากถึง 52 เท่า
ทั้งนี้ น้ำมันที่รั่วออกมา 5% ถูกเผาไหม้ที่ผิวน้ำ และอีก 3% กรองออกมาได้ อีกทั้งยังมีพายุเฮอริเคนในอ่าวเม็กซิโกก็เป็นอุปสรรคสำคัญ ทำให้เรือดักจับน้ำมันต้องหลบพายุอยู่เป็นสัปดาห์ทำให้การแก้ปัญหาล่าช้าออก
ไปอีก
อย่างไรก็ดี เมื่ออุดรอยรั่วได้แล้ว บีพีก็จัดการกำจัดคราบน้ำมันตามชายฝั่ง ด้วยการร่อนทราย เอาคราบน้ำมันที่จับเป็นก้อนออก ในช่วงที่ต้องช่วยกันอุดรอยรั่ว ขจัดคราบน้ำมัน บางวันต้องใช้คนงานมากถึง 47,000 คน
4. บ่อน้ำมัน อิท็อค-วัน (Ixtoc-1 Oil Well)
เมื่อไหร่ : 3 มิถุนายน 1979
ที่ไหน : อ่าวแคมเปเช เม็กซิโก (Bay of Campeche, Mexico)
ปริมาณการรั่ว : 470,000 ตัน / 3.5 ล้านบาร์เรลส์
มูลค่าความเสียหาย : 283.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สถานการณ์ :
บ่อน้ำมันที่เกิดเหตุนี้ เป็นของเปเม็กซ์ (Pemex : Petróleos Mexicanos) บริษัทน้ำมันของรัฐบาลเม็กซิโก เหตุเกิดเมื่อมีการเจาะลึกลงไป 3 กิโลเมตร ด้วยการอัดแรงดันจากน้ำโคลน จนภายในบ่อได้รับความเสียหาย เมื่อทางเปเม็กซ์ตัดสินใจแก้ปัญหา ด้วยการดึงท่อเจาะน้ำมันออก ทำให้เกิดควันและก๊าซพุ่งตามขึ้นมา พร้อมด้วยน้ำมันดิบ
กว่าจะอุดรูรั่วได้ต้องใช้เวลานานถึง10 เดือน ระหว่างนั้นน้ำมันดิบประมาณ 520 ล้านลิตรได้พุ่งขึ้นมาไม่หยุด ทำให้อ่าวเม็กซิโกปนเปื้อนไปด้วยคราบน้ำมัน กินพื้นที่ 2,800 ตารางกิโลเมตร ยาวขนานไปตามพื้นที่แนวชายฝั่ง 261 กิโลเมตร
เคลียร์ยังไง :
เริ่มจากแก้ปัญหาที่ต้นตอ จึงมีความพยายามที่จะชะลอมกระแสน้ำมันดิบที่พุ่งออกมาจากบ่อที่เสียหายด้วย การเติมโคลนลงไปในบ่อดังกล่าว และต่อมาก็ใส่ลูกบอลเหล็กและตะกั่วตามลงไป
ขณะเดียวกันเปเม็กซ์ก็เปิดเผยว่า น้ำม้นดิบกว่าครึ่งถูกเผาไหม้เมื่อพุ่งออกมาที่ปากบ่อ และ 1 ใน 3 ก็ระเหยไปในอากาศ อีกทั้งยังได้จ้างบริษัทแห่งหนึ่งโปรยสารเคมีขจัดคราบน้ำมันเหนือพื้นที่ เกิดเหตุกว่า 2,800 ตารางกิโลเมตร สารเคมีดังกล่าวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยละลายน้ำมันให้เข้ากับน้ำ จึงทำให้คราบน้ำมันดิบเข้าสู่ชายฝั่งน้อยลง
ขณะเดียวกัน น้ำมันดิบก็ลอยไปไกลถึงชายฝั่งเท็กซัส ทางเท็กซัสก็ขนทรายชายฝั่งที่ปนเปื้อนออกไป พร้อมทั้งติดตั้งสกิมเมอร์ดูดน้ำมันออกจากน้ำมาที่ชายฝั่งเพื่อจัดเก็บ และบูมเมอร์ดักน้ำมันไม่ให้ไหลเข้าชายฝั่ง
5.แอตแลนติก เอ็มเพรส (Atlantic Empress)
เมื่อไหร่ : 19 ก.ค. 1979
ที่ไหน : ทะเลแคริบเบียน สาธารณรัฐตรินิแดดและโตเบโก (Trinidad and Tobago, West Indies)
ปริมาณการรั่ว : 520 ล้านลิตร / 3 ล้านบาร์เรลส์
มูลค่าความเสียหาย : 187 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สถานการณ์ :
เหตุเกิดเมื่อเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ทั้ง 2 ลำชนกัน ท่ามกลางพายุฝนรุนแรง ในทะเลแคริบเบียน ชายฝั่งโตเบโก นับได้ว่าเป็นเหตุการณ์น้ำมันรั่วจากเรือล่มครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
พายุฝนกระหน่ำในช่วงค่ำ ทัศนวิสัยต่ำ ทำให้ทั้งเรือแอตแลนติก เอ็มเพรส กับ เรือเอเจียน กัปตัน (Aegean Captain) ที่กำลังเดินทางสวนกัน เพิ่งจะมองเห็นกันในระยะห่างเพียง 500 เมตร ทำให้หักหลบไม่ทัน และเมื่อเรือทั้ง 2 เข้าปะทะกัน ก็เกิดไฟลุกไหม้ขนาดใหญ่ ลูกเรือต่างสละเรือ ซึ่งลูกเรือแอตแลนติกสูญหายไประหว่างเหตุการณ์ 26 คน และลูกเรือเอเจียนเสียชีวิตบนเรือ 1 คน
วันต่อมาเจ้าหน้าที่ชายฝั่งจากตรินิแดดก็สามารถดับไฟเรือเอเจียนได้ สำเร็จและนำเรือเข้าสู่ประเทศคูราเซา (Curaçao) ซึ่งเป็นต้นทางที่ขนน้ำมันมา ขณะที่เรือแอตแลนติกลอยออกไปไกลจากฝั่ง พร้อมกับไฟที่ยังไม่สามารถดับได้ และน้ำมันดิบเริ่มรั่วออกมาเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งผ่านไป 1 สัปดาห์ เกิดระเบิดขึ้นบนเรือ น้ำมันรั่วเพิ่มออกมาอย่างรวดเร็ว และในที่สุดเรือก็จมลงในวันที่ 3 ส.ค. (กินเวลา 16 วัน)
เคลียร์ยังไง :
แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นเหตุน้ำมันรั่วใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก แต่ก็ไม่ได้มีการจัดการมากมายนัก เพราะเป็นน้ำมันดิบที่มีความหนาแน่นต่ำ (light crude) และเกิดรั่วในบริเวณทะเลน้ำอุ่น ซึ่งจะช่วยให้ระเหยสู่อากาศและตกลงสู่ก้นทะเลได้ไวขึ้น อีกทั้งส่วนหนึ่งก็ถูกเผาไหม้ระหว่างที่เรือปะทะกัน ดังนั้นความพยายามแรกก็การดับไฟ และตามมาด้วยการใช้สารเคมี
ทั้งนี้ เหตุน้ำมันที่รั่วมาจากเรือแอตแลนติกเอ็มเพรสที่ลอยออกไปในทะเล ทำให้มลพิษตามแนวชายฝั่งจึงมีเพียงเล็กน้อย เท่าที่ผู้อยู่อาศัยแถบนั้นสังเกตเห็น แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีรายงานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจาก เหตุการณ์ดังกล่าว
ทุ่นซับน้ำมัน หรือ บูม ที่ถูกนำมาใช้งานเพื่อกั้นการกระจายของคราบน้ำมัน ซึ่งวิธีนี้เหมาะกับพื้นที่ที่ไม่มีคลื่นลมแรง เหตุการณ์ดีปวอลเทอร์ มีบางส่วนใช้อุปกรณ์นี้ได้
การโปรยสารเคมีเพื่อ ทำให้น้ำมันดิบสลายขนาดเล็กลงและตกลงก้นทะเล เป็นหนทางที่ใช้กันบ่อย แต่มักจะส่งผลกระทบระยะยาว เพราะการตกค้างของคราบน้ำมัน และความเป็นพิษที่เกิดขึ้นตามมา
ภาพจากสถานีอวกาศ นานาชาติ บันทึกโดยนาซา เมื่อถ่ายลงมาบริเวณอ่าวเม็กซิโก หลังเกิดเหตุน้ำมันรั่วของพีบี กินพื้นที่บริเวณกว้าง แม้จะอุดรอยรั่วของน้ำมันได้แล้ว แต่ผลกระทบและการเรียกร้องค่าเสียหายยังไม่จบสิ้นกันง่ายๆ
ยังมีเหตุการณ์น้ำมันรั่วครั้งสำคัญอีกจำนวนมาก แต่การรั่วของแท่นขุดเจาะน้ำมัน หรือ การระเบิดนั้น หากเกิดบนทะเลจะส่งผลกระทบเสียหายมากกว่าบนพื้นดิน เพราะน้ำจะนำพาคราบน้ำมันเหล่านี้ไปไกลเกินกว่าจะคาดเดาได้
ในหลายๆ กรณีนี้แม้เหตุการณ์จะคลี่คลาย สามารถหยุดยั้งการรั้ว หรือ กำจัดทำความสะอาดคราบน้ำมันดิบได้แล้ว แต่ยังต้องมีการติดตามผลกระทบระยะยาวต่อสิ่งแวดล้อมที่เราอาจจะคาดไม่ถึง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 สิงหาคม 2556 18:16 น.
ความต้องการน้ำมันดิบมาใช้ เป็นเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้เกิดการสำรวจและขุดเจาะน้ำมันดิบขึ้นมาใช้เป็นจำนวนมากขึ้น และแน่นอนว่า แม้จะเป็นเทคโนโลยีที่ดีขนาดไหนในการบริหารจัดการแหล่งน้ำมันต่างๆ แต่ความเกิดความผิดพลาดก็มีให้เห็นอยู่เนืองๆ
หากย้อนดูประวัติศาสตร์การรั่วของน้ำมันดิบทั่วโลกผ่านแผนที่ด้าน แล้วก็ถือว่าอุบัติเหตุเหล่านี้มีบ่อยครั้ง และกินพื้นที่ความเสียหายไม่น้อยเลย (จากจุดสีดำ) ส่วนจุดสีแดงคือพื้นที่การเกิดเหตุล่าสุดที่ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมราย รอบอย่างมีนัยสำคัญ
ผู้จัดการวิทยาศาสตร์ได้ประมวลเหตุการณ์น้ำมันรั่วที่รุนแรงสุดใน ประวัติศาสตร์การนำน้ำมันดิบมาใช้งานของมนุษย์ใน 5 อันดับ โดยเรียงจากปริมาณการรั่วไหลของน้ำมัน ดังนี้
1. สงครามอ่าว
เมื่อไหร่ : 23 มกราคม 1991
ที่ไหน : อ่าวเปอร์เชีย คูเวต
ปริมาณการรั่ว : 136 - 205 ล้านตัน / 1-1.5 พันล้านบาร์เรลส์
มูลค่าความเสียหาย : 540 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สถานการณ์ :
เมื่อกองทัพอิรักที่กำลังจะพ่ายแพ้ ได้ทิ้งน้ำมันดิบของคูเวตลงในอ่าวเปอร์เซีย เพื่อสกัดไม่ให้นาวิกโยธินสหรัฐฯ ยกพลขึ้นบกมาปะทะได้ พร้อมทั้งเผาบ่อน้ำมันอีก 600 บ่อ ทำให้น้ำมันดิบกว่า 900 ล้านลิตรที่ไหลลงทะเล ส่งผลให้ผืนน้ำแถวนั้นมีน้ำมันหนา 4 นิ้ว ลอยกระจายเต็มชายฝั่ง กินพื้นที่ 400 ตารางกิโลเมตรใหญ่กว่าเกาะฮาวาย นับได้ว่าเป็นเหตุการณ์น้ำมันรั่วที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์
เคลียร์ยังไง :
กองกำลังทหารพันธมิตรได้จัดการปิดผนึกบ่อน้ำมันที่ถูกเปิดหลายแห่ง ด้วยระเบิดสมาร์ทบอมบ์ (smart bombs) แต่กว่าจะกู้ตรงจุดเหล่านี้ได้ต้องรอจนกระทั่งหลังสงคราม
ขณะเดียวกันที่ชายฝั่งทะเลก็มีการทุ่นน้ำมัน (boom) แนวสีส้มเพื่อซับน้ำมันยาว 38 กิโลเมตร พร้อมด้วยเครื่องเก็บคราบน้ำมัน (skimmer) ดูดน้ำมันออกจากน้ำ ซึ่งติดตั้งไว้ 21 เครื่อง และใช้รถบรรทุกขนน้ำมันที่ดูดขึ้นมาได้ประมาณ 200 ล้านลิตร
ความเสียหายที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นเหตุการณ์น้ำมันรั่วครั้งใหญ่ของโลก แต่รายงานของคณะกรรมาธิการสมุทรศาสตร์ระหว่างรัฐบาล (Intergovernmental Oceanographic Commission, IOC) ยูเนสโก ได้ระบุถึงความเสียหายของระบบนิเวศน์ปะการัง และการประมงท้องถิ่นว่า หากเป็นความเสียหายระยะยาวนั้นไม่ได้มากมายนัก
อีกทั้ง รายงานยังสรุปว่า น้ำมันครึ่งหนึ่งที่รั่วลงทะเลนั้นระเหยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ และ 1 ใน 8 คือปริมาณที่ดูดขึ้นมาได้ ส่วนอีก 1 ใน 4 ไหลไปตามชายฝั่งโดยเฉพาะชายฝั่งของซาอุดิอาระเบีย
อย่างไรก็ดี รายงานการวิจัยยุคหลังปี 2000 ก็เริ่มมีข้อมูลที่ขัดแย้ง เพราะชายฝั่งหลายพื้นที่ที่ไม่ได้มีการกำจัดคราบน้ำมัน แม้จะผ่านมานับสิบปีแล้ว แต่มลพิษเหล่านั้นได้ทำลายระบบนิเวศน์อย่างมีนัยสำคัญ
2. เลควิว กัชเชอร์ (Lakeview Gusher)
เมื่อไหร่ : 14 มีนาคม 1910
ที่ไหน : เคิร์น เคาน์ตี มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา (Kern County, California)
ปริมาณการรั่ว : 120 ล้านตัน / 9 ล้านบาร์เรล
มูลค่าความเสียหาย : ยังไม่เคยประเมินค่า
สถานการณ์ :
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 100 กว่าปีก่อน นับเป็นอุบัติเหตุน้ำมันรั่วครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ เมื่อบริษัทเลควิวออยคอมพานี ได้ขุดเจาะหลุมที่ 1 เพราะเชื่อว่ามีเพียงก๊าซธรรมชาติ พร้อมๆ กับเทคโนโลยีการขุดเจาะสำรวจสมัยนั้นที่ไม่มีมาตรการป้องกันหากกรณีการ ระเบิดพุ่งออกมาที่ปากหลุม
ที่หลุมดังกล่าวมีน้ำมันดิบอยู่ด้วย และเมื่อเจาะไปถึงก็ทำให้น้ำมันดิบพุ่งออกมาพร้อมกับการระเบิดที่ปากบ่อ ทำให้เกิดน้ำพุน้ำมันพุ่งออกมาแบบหยุดไม่ได้ มีน้ำมันดิบประมาณ 18,000 บาร์เรลต่อวันพุ่งออกมาเป็นเวลายาวนานถึง 18 เดือน
เคลียร์ยังไง :
ตั้งแต่วันแรกที่น้ำพุน้ำมันดิบพุ่งออกมา เจ้าหน้าที่ได้จัดกระสอบทรายก่อเป็นเขื่อนกั้นบริเวณไว้ พร้อมด้วยท่อยาว 4 กิโลเมตรรองรับเมื่อน้ำมันดิบล้นจากเขื่อน ให้ไหลเข้าสู่ถังเก็บน้ำมัน จึงทำให้สามารถเก็บน้ำมันที่พุ่งออกมาได้ประมาณ 5 ล้านบาร์เรล ตลอดระยะเวลา 544 วันที่เกิดเหตุ ส่วนน้ำมันที่เหลืออีกประมาณ 4 ล้านบาร์เรลก็ระเหยและซึมลงดินไป
3. ดีปวอเทอร์ ฮอไรซอน (Deep Water Horizon)
เมื่อไหร่ : 22 เมษายน 2010
ที่ไหน : อ่าวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา (Gulf of Mexico)
ปริมาณการรั่ว : 470,770 ตัน / 4.1-4.9 ล้านบาร์เรลส์
มูลค่าความเสียหาย : อาจจะมากกว่า 10 ล้านล้านเหรียญหสรัฐฯ
สถานการณ์ :
แท่นขุดเจาะอันทันสมัยที่ใช้หุ่นยนต์บังคับบนผิวน้ำของดีปวอเทอร์ ฮอไรซอน อันเป็นสัมปทานของบริติชปีโตรเลียม (บีพี) เกิดระเบิดขึ้น เพราะแก๊สและเชื้อเพลิงรั่วเข้าไปในท่อ ขณะกำลังขุดเจาะน้ำมันดิบจากระดับความลึก 1.5 กิโลเมตร ทำให้เพลิงลุกไหม้ ท่อแตก และแท่นขุดเจาะจมลงทะเลหลังจากระเบิด 36 ชั่วโมง โดยมีคนงานเสียชีวิต 11 ราย และบาดเจ็บ 17 คน พร้อมๆ กับน้ำมันดิบที่ทะลักออกมา
ประมาณการว่าน้ำมันดิบรั่วไหลจากช่องเปิดใต้ทะเลก้นอ่าวเม็กซิโกเป็น เวลานาน 87 วัน กินพื้นที่ปนเปื้อน 6,500 - 24,000 ตารางกิโลเมตร น้ำมันบางจุดหนาถึง 91 เมตร พร้อมกับรายงานว่าสัตว์ 8,000 ตัว ตายภายใน 6 เดือนหลังจากเกิดเหตุการณ์ นับเป็นการรั่วไหลนอกชายฝั่งครั้งใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา
เคลียร์ยังไง :
บีพีเลือกใช้วิธีการอัดโคลนลงไปอุดรอยรั่วของท่อน้ำมันแต่ไม่สำเร็จ จึงตัดท่อน้ำมันที่มีรอยแตกออกไป แล้วนำฝาครอบปิด พร้อมทั้งขนถ่ายน้ำมันที่รั่วไหวออกมาสู่ผิวน้ำ
ระหว่างแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ในส่วนของน้ำมันที่ลอยอยู่ในทะเล ได้มีการนำเรือติดตั้งเครื่องเก็บคราบน้ำมันมากกว่า 2,000 เครื่อง และวางแนวทุ่นซับน้ำมัน แต่ก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควร เมื่อคลื่นลมแรงทำให้น้ำมันลอดผ่านทุ่นไปได้ พร้อมทั้งใช้สารเคมีโปรยไปตามบริเวณคราบน้ำมัน ทว่า 2 ปีหลังจากโรยสารเคมี มีผลการศึกษาพบว่าสารคอเรกซิต (Corexit) ที่ใช้นี้เพิ่มความเป็นพิษในน้ำมันมากถึง 52 เท่า
ทั้งนี้ น้ำมันที่รั่วออกมา 5% ถูกเผาไหม้ที่ผิวน้ำ และอีก 3% กรองออกมาได้ อีกทั้งยังมีพายุเฮอริเคนในอ่าวเม็กซิโกก็เป็นอุปสรรคสำคัญ ทำให้เรือดักจับน้ำมันต้องหลบพายุอยู่เป็นสัปดาห์ทำให้การแก้ปัญหาล่าช้าออก
ไปอีก
อย่างไรก็ดี เมื่ออุดรอยรั่วได้แล้ว บีพีก็จัดการกำจัดคราบน้ำมันตามชายฝั่ง ด้วยการร่อนทราย เอาคราบน้ำมันที่จับเป็นก้อนออก ในช่วงที่ต้องช่วยกันอุดรอยรั่ว ขจัดคราบน้ำมัน บางวันต้องใช้คนงานมากถึง 47,000 คน
4. บ่อน้ำมัน อิท็อค-วัน (Ixtoc-1 Oil Well)
เมื่อไหร่ : 3 มิถุนายน 1979
ที่ไหน : อ่าวแคมเปเช เม็กซิโก (Bay of Campeche, Mexico)
ปริมาณการรั่ว : 470,000 ตัน / 3.5 ล้านบาร์เรลส์
มูลค่าความเสียหาย : 283.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สถานการณ์ :
บ่อน้ำมันที่เกิดเหตุนี้ เป็นของเปเม็กซ์ (Pemex : Petróleos Mexicanos) บริษัทน้ำมันของรัฐบาลเม็กซิโก เหตุเกิดเมื่อมีการเจาะลึกลงไป 3 กิโลเมตร ด้วยการอัดแรงดันจากน้ำโคลน จนภายในบ่อได้รับความเสียหาย เมื่อทางเปเม็กซ์ตัดสินใจแก้ปัญหา ด้วยการดึงท่อเจาะน้ำมันออก ทำให้เกิดควันและก๊าซพุ่งตามขึ้นมา พร้อมด้วยน้ำมันดิบ
กว่าจะอุดรูรั่วได้ต้องใช้เวลานานถึง10 เดือน ระหว่างนั้นน้ำมันดิบประมาณ 520 ล้านลิตรได้พุ่งขึ้นมาไม่หยุด ทำให้อ่าวเม็กซิโกปนเปื้อนไปด้วยคราบน้ำมัน กินพื้นที่ 2,800 ตารางกิโลเมตร ยาวขนานไปตามพื้นที่แนวชายฝั่ง 261 กิโลเมตร
เคลียร์ยังไง :
เริ่มจากแก้ปัญหาที่ต้นตอ จึงมีความพยายามที่จะชะลอมกระแสน้ำมันดิบที่พุ่งออกมาจากบ่อที่เสียหายด้วย การเติมโคลนลงไปในบ่อดังกล่าว และต่อมาก็ใส่ลูกบอลเหล็กและตะกั่วตามลงไป
ขณะเดียวกันเปเม็กซ์ก็เปิดเผยว่า น้ำม้นดิบกว่าครึ่งถูกเผาไหม้เมื่อพุ่งออกมาที่ปากบ่อ และ 1 ใน 3 ก็ระเหยไปในอากาศ อีกทั้งยังได้จ้างบริษัทแห่งหนึ่งโปรยสารเคมีขจัดคราบน้ำมันเหนือพื้นที่ เกิดเหตุกว่า 2,800 ตารางกิโลเมตร สารเคมีดังกล่าวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยละลายน้ำมันให้เข้ากับน้ำ จึงทำให้คราบน้ำมันดิบเข้าสู่ชายฝั่งน้อยลง
ขณะเดียวกัน น้ำมันดิบก็ลอยไปไกลถึงชายฝั่งเท็กซัส ทางเท็กซัสก็ขนทรายชายฝั่งที่ปนเปื้อนออกไป พร้อมทั้งติดตั้งสกิมเมอร์ดูดน้ำมันออกจากน้ำมาที่ชายฝั่งเพื่อจัดเก็บ และบูมเมอร์ดักน้ำมันไม่ให้ไหลเข้าชายฝั่ง
5.แอตแลนติก เอ็มเพรส (Atlantic Empress)
เมื่อไหร่ : 19 ก.ค. 1979
ที่ไหน : ทะเลแคริบเบียน สาธารณรัฐตรินิแดดและโตเบโก (Trinidad and Tobago, West Indies)
ปริมาณการรั่ว : 520 ล้านลิตร / 3 ล้านบาร์เรลส์
มูลค่าความเสียหาย : 187 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สถานการณ์ :
เหตุเกิดเมื่อเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ทั้ง 2 ลำชนกัน ท่ามกลางพายุฝนรุนแรง ในทะเลแคริบเบียน ชายฝั่งโตเบโก นับได้ว่าเป็นเหตุการณ์น้ำมันรั่วจากเรือล่มครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
พายุฝนกระหน่ำในช่วงค่ำ ทัศนวิสัยต่ำ ทำให้ทั้งเรือแอตแลนติก เอ็มเพรส กับ เรือเอเจียน กัปตัน (Aegean Captain) ที่กำลังเดินทางสวนกัน เพิ่งจะมองเห็นกันในระยะห่างเพียง 500 เมตร ทำให้หักหลบไม่ทัน และเมื่อเรือทั้ง 2 เข้าปะทะกัน ก็เกิดไฟลุกไหม้ขนาดใหญ่ ลูกเรือต่างสละเรือ ซึ่งลูกเรือแอตแลนติกสูญหายไประหว่างเหตุการณ์ 26 คน และลูกเรือเอเจียนเสียชีวิตบนเรือ 1 คน
วันต่อมาเจ้าหน้าที่ชายฝั่งจากตรินิแดดก็สามารถดับไฟเรือเอเจียนได้ สำเร็จและนำเรือเข้าสู่ประเทศคูราเซา (Curaçao) ซึ่งเป็นต้นทางที่ขนน้ำมันมา ขณะที่เรือแอตแลนติกลอยออกไปไกลจากฝั่ง พร้อมกับไฟที่ยังไม่สามารถดับได้ และน้ำมันดิบเริ่มรั่วออกมาเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งผ่านไป 1 สัปดาห์ เกิดระเบิดขึ้นบนเรือ น้ำมันรั่วเพิ่มออกมาอย่างรวดเร็ว และในที่สุดเรือก็จมลงในวันที่ 3 ส.ค. (กินเวลา 16 วัน)
เคลียร์ยังไง :
แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นเหตุน้ำมันรั่วใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก แต่ก็ไม่ได้มีการจัดการมากมายนัก เพราะเป็นน้ำมันดิบที่มีความหนาแน่นต่ำ (light crude) และเกิดรั่วในบริเวณทะเลน้ำอุ่น ซึ่งจะช่วยให้ระเหยสู่อากาศและตกลงสู่ก้นทะเลได้ไวขึ้น อีกทั้งส่วนหนึ่งก็ถูกเผาไหม้ระหว่างที่เรือปะทะกัน ดังนั้นความพยายามแรกก็การดับไฟ และตามมาด้วยการใช้สารเคมี
ทั้งนี้ เหตุน้ำมันที่รั่วมาจากเรือแอตแลนติกเอ็มเพรสที่ลอยออกไปในทะเล ทำให้มลพิษตามแนวชายฝั่งจึงมีเพียงเล็กน้อย เท่าที่ผู้อยู่อาศัยแถบนั้นสังเกตเห็น แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีรายงานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจาก เหตุการณ์ดังกล่าว
ทุ่นซับน้ำมัน หรือ บูม ที่ถูกนำมาใช้งานเพื่อกั้นการกระจายของคราบน้ำมัน ซึ่งวิธีนี้เหมาะกับพื้นที่ที่ไม่มีคลื่นลมแรง เหตุการณ์ดีปวอลเทอร์ มีบางส่วนใช้อุปกรณ์นี้ได้
การโปรยสารเคมีเพื่อ ทำให้น้ำมันดิบสลายขนาดเล็กลงและตกลงก้นทะเล เป็นหนทางที่ใช้กันบ่อย แต่มักจะส่งผลกระทบระยะยาว เพราะการตกค้างของคราบน้ำมัน และความเป็นพิษที่เกิดขึ้นตามมา
ภาพจากสถานีอวกาศ นานาชาติ บันทึกโดยนาซา เมื่อถ่ายลงมาบริเวณอ่าวเม็กซิโก หลังเกิดเหตุน้ำมันรั่วของพีบี กินพื้นที่บริเวณกว้าง แม้จะอุดรอยรั่วของน้ำมันได้แล้ว แต่ผลกระทบและการเรียกร้องค่าเสียหายยังไม่จบสิ้นกันง่ายๆ
ยังมีเหตุการณ์น้ำมันรั่วครั้งสำคัญอีกจำนวนมาก แต่การรั่วของแท่นขุดเจาะน้ำมัน หรือ การระเบิดนั้น หากเกิดบนทะเลจะส่งผลกระทบเสียหายมากกว่าบนพื้นดิน เพราะน้ำจะนำพาคราบน้ำมันเหล่านี้ไปไกลเกินกว่าจะคาดเดาได้
ในหลายๆ กรณีนี้แม้เหตุการณ์จะคลี่คลาย สามารถหยุดยั้งการรั้ว หรือ กำจัดทำความสะอาดคราบน้ำมันดิบได้แล้ว แต่ยังต้องมีการติดตามผลกระทบระยะยาวต่อสิ่งแวดล้อมที่เราอาจจะคาดไม่ถึง
วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556
ทีวีดิจิตอล
ทีวีดิจิตอล ไม่ใช่ทั้งทีวีดาวเทียม (Satellite TV) และเคเบิลทีวี
(Cable TV)
ทีวีดิจิตอลเป็นวิวัฒนาการล่าสุดของการส่งสัญญาณโทรทัศน์ภาคพื้นดิน
(Terrestrial Television) ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อทดแทนทีวีแอนะล็อก (Analog TV)
ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มีหลักการทำงานเหมือนกับทีวีแอนะล็อก
คือส่งสัญญาณจากเสาโทรทัศน์ของสถานีผ่านอากาศ
เข้าเสาก้างปลาหรือหนวดกุ้งของเครื่องรับโทรทัศน์ที่บ้าน
แต่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงกว่า
ด้วยการเปลี่ยนการเข้ารหัสจากแบบแอนะล็อกเป็นดิจิตอล ทำให้ 1
ช่องแอนะล็อกกลายเป็น 48 ช่องดิจิตอลทันที ทั้งยังรองรับการส่งสัญญาณภาพแบบ
Full HD ความละเอียด 1,920x1,080 พิกเซล สัดส่วนภาพ 16:9 Wide Screen
และรองรับการส่งสัญญาณเสียงแบบรอบทิศทาง (Digital Surround) ด้วย
ประเทศไทยจะเปลี่ยนระบบโทรทัศน์ไปเป็นระบบดิจิตอลบนมาตรฐาน DVB-T2 (Digital Video Broadcasting-Second Generation Terrestrial) ทั้งหมด โดยจะเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงในปี พ.ศ. 2558-2563 ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีมากๆ สำหรับผู้บริโภค เพราะจากที่เคยมีฟรีทีวีให้ดูอยู่แค่ 6 ช่อง นับจากนี้ไปก็จะมีช่องให้เลือกมากขึ้นถึง 48 ช่องทีเดียว
วิธีรับชมทีวีดิจิตอลก็ไม่ยาก ใช้เสาอากาศเดิมกับทีวีเดิมที่มีอยู่นั่นแหละ เพียงแต่ซื้อกล่องแปลงสัญญาณที่รองรับมาตรฐาน DVB-T2 มาต่อพ่วงเข้าไปแค่นี้ก็ดูทีวีดิจิตอลได้แล้ว หรือถ้าใครอยากซื้อโทรทัศน์ใหม่ก็ย่อมได้ ขอให้รองรับมาตรฐาน DVB-T2 ได้เป็นพอ ย้ำว่าต้อง DVB-T2 เท่านั้น หากเป็นมาตรฐานอื่น เช่น DVB-T (ไม่มีเลข 2 ต่อท้าย) แบบนี้เป็นคนละมาตรฐานกัน ดูไม่ได้
ในส่วนของภาครัฐนั้นก็ให้การสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อย่าง เต็มที่ โดยมีนโยบายแจกคูปองส่วนลดให้แก่ทุกครอบครัวเพื่อใช้เป็นส่วนลดในการซื้อ กล่องรับสัญญาณหรือทีวีเครื่องใหม่ที่รองรับมาตรฐาน DVB-T2 ด้วย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มแจกคูปองได้ในปี พ.ศ. 2557
ถึงบรรทัดนี้ เชื่อว่าคุณผู้อ่านคงเห็นภาพโดยรวมของระบบทีวีดิจิตอลในประเทศไทยบนมาตรฐาน DVB-T2 แล้ว และพร้อมรับเทคโนโลยีใหม่ที่จะมาถึงเมืองไทยในอีก 2 ปีข้างหน้า ผู้สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.samsung.com/th/smarttv/digitaltv/
ประเทศไทยจะเปลี่ยนระบบโทรทัศน์ไปเป็นระบบดิจิตอลบนมาตรฐาน DVB-T2 (Digital Video Broadcasting-Second Generation Terrestrial) ทั้งหมด โดยจะเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงในปี พ.ศ. 2558-2563 ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีมากๆ สำหรับผู้บริโภค เพราะจากที่เคยมีฟรีทีวีให้ดูอยู่แค่ 6 ช่อง นับจากนี้ไปก็จะมีช่องให้เลือกมากขึ้นถึง 48 ช่องทีเดียว
วิธีรับชมทีวีดิจิตอลก็ไม่ยาก ใช้เสาอากาศเดิมกับทีวีเดิมที่มีอยู่นั่นแหละ เพียงแต่ซื้อกล่องแปลงสัญญาณที่รองรับมาตรฐาน DVB-T2 มาต่อพ่วงเข้าไปแค่นี้ก็ดูทีวีดิจิตอลได้แล้ว หรือถ้าใครอยากซื้อโทรทัศน์ใหม่ก็ย่อมได้ ขอให้รองรับมาตรฐาน DVB-T2 ได้เป็นพอ ย้ำว่าต้อง DVB-T2 เท่านั้น หากเป็นมาตรฐานอื่น เช่น DVB-T (ไม่มีเลข 2 ต่อท้าย) แบบนี้เป็นคนละมาตรฐานกัน ดูไม่ได้
ในส่วนของภาครัฐนั้นก็ให้การสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อย่าง เต็มที่ โดยมีนโยบายแจกคูปองส่วนลดให้แก่ทุกครอบครัวเพื่อใช้เป็นส่วนลดในการซื้อ กล่องรับสัญญาณหรือทีวีเครื่องใหม่ที่รองรับมาตรฐาน DVB-T2 ด้วย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มแจกคูปองได้ในปี พ.ศ. 2557
ถึงบรรทัดนี้ เชื่อว่าคุณผู้อ่านคงเห็นภาพโดยรวมของระบบทีวีดิจิตอลในประเทศไทยบนมาตรฐาน DVB-T2 แล้ว และพร้อมรับเทคโนโลยีใหม่ที่จะมาถึงเมืองไทยในอีก 2 ปีข้างหน้า ผู้สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.samsung.com/th/smarttv/digitaltv/
วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556
5 ของกิน อร่อยแทนยา!
ภาพ
ไม่ต้องไปวิ่ง หายากินให้ขมคอ แค่หยิบสิ่งเหล่านี้มาลิ้มลองรส คุณก็สามารถมีสุขภาพดีได้อย่างไม่ลำบากมากมายแล้ว ด้วยสรรพคุณของมันที่อาจไม่เคยรู้มาก่อน
1. มันฝรั่ง = ยาลดความดัน
ในมันฝรั่งมีสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติชื่อว่า “คูคัวไมน์ส” ช่วยควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำลงได้ผลชะงัก
2. เนย = ยานอนหลับ
ในเนยมีกรดอะมิโน ที่มีชื่อว่า “ทริปโตพัน” ช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และสะกดให้หลับได้สนิทยิ่งขึ้น
3. ส้ม = ยาแก้เบื่อ
กลิ่นส้มช่วยให้ รู้สึกผ่อนคลาย ส่วนวิตามินซีในนั้นช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนคลายความเครียด แก้เบื่อ แก้เซ็งได้ แต่มีข้อแม้ว่า ต้องกินโดยปอกเปลือกเองเท่านั้น
4. ช็อกโกแลต = ยาแก้ไอ
ในโกโก้ ซึ่งใช้ทำช็อกโกแลต มีสารที่ชื่อ “ธีโอโบรไมน์” ออกฤทธิ์ที่เส้นประสาท “เวกัสเนอร์ฟ” ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการไอ กินแล้วช่วยให้หยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผล
5. บ๊วย = ยาชูกำลัง
บ๊วยมีค่าความเป็น ด่าง PH 7.35 ซึ่งใกล้เคียงกับเลือดของคนเรา กินแล้วจึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างในร่างกายไว้ได้ ช่วยลดอาการอ่อนเพลียจากภาวะเหนื่อยอ่อน เนื่องจากกรดในเลือดสูง ค่าความเป็นด่างไม่สมดุล แถมยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารจำเป็นอีกเยอะแยะ
Info Graphic โดย ASTV ผู้จัดการ LIVE
ไม่ต้องไปวิ่ง หายากินให้ขมคอ แค่หยิบสิ่งเหล่านี้มาลิ้มลองรส คุณก็สามารถมีสุขภาพดีได้อย่างไม่ลำบากมากมายแล้ว ด้วยสรรพคุณของมันที่อาจไม่เคยรู้มาก่อน
1. มันฝรั่ง = ยาลดความดัน
ในมันฝรั่งมีสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติชื่อว่า “คูคัวไมน์ส” ช่วยควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำลงได้ผลชะงัก
2. เนย = ยานอนหลับ
ในเนยมีกรดอะมิโน ที่มีชื่อว่า “ทริปโตพัน” ช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และสะกดให้หลับได้สนิทยิ่งขึ้น
3. ส้ม = ยาแก้เบื่อ
กลิ่นส้มช่วยให้ รู้สึกผ่อนคลาย ส่วนวิตามินซีในนั้นช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนคลายความเครียด แก้เบื่อ แก้เซ็งได้ แต่มีข้อแม้ว่า ต้องกินโดยปอกเปลือกเองเท่านั้น
4. ช็อกโกแลต = ยาแก้ไอ
ในโกโก้ ซึ่งใช้ทำช็อกโกแลต มีสารที่ชื่อ “ธีโอโบรไมน์” ออกฤทธิ์ที่เส้นประสาท “เวกัสเนอร์ฟ” ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการไอ กินแล้วช่วยให้หยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผล
5. บ๊วย = ยาชูกำลัง
บ๊วยมีค่าความเป็น ด่าง PH 7.35 ซึ่งใกล้เคียงกับเลือดของคนเรา กินแล้วจึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างในร่างกายไว้ได้ ช่วยลดอาการอ่อนเพลียจากภาวะเหนื่อยอ่อน เนื่องจากกรดในเลือดสูง ค่าความเป็นด่างไม่สมดุล แถมยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารจำเป็นอีกเยอะแยะ
Info Graphic โดย ASTV ผู้จัดการ LIVE
วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556
ดอยหลวงเชียงดาวในหมวก 6 ใบ
ดอยหลวงเชียงดาวในหมวก 6 ใบ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
13 มกราคม 2556 12:19 น.

ภาพดอยหลวงเชียงดาว ของคุณ “Jungle Man” ที่กระจายข่าวเกี่ยวกับการปลุกกระแสกระเช้าไฟฟ้าที่
เงียบหายไปกว่า 10 ปีจนเป็นกระแสสังคมในโซเซียลเน็ตเวิร์ค
การแก้ปัญหาด้วยการคิดแยกแยะเหตุผลที่ไปที่มาให้แจ่มแจ้ม ไม่ว่าจะคิดร่วมกันหรือนั่งคิดคนเดียว อาจทำให้รับมือกับปัญ
หาโหดหินได้ง่ายขึ้น เมื่อเกิดปัญหาสาธารณะ การแยกแยะข้อดี ข้อเสีย เพื่อสร้างสรรค์แนวคิดใหม่ๆ บนเหตุและผลที่หลากหลายเพื่อตัดสินใจร่วมกัน อาจทำได้ด้วยวิธีคิดแบบ “หมวก 6 ใบ”
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีภาพดอยหลวงเชียงดาวยามเช้าที่โพสโดยช่างภาพ ท่านหนึ่งกระจายบนโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างรวดเร็ว เพราะเนื้อความได้พูดถึง “การปลุกกระแสสร้างกระเช้าขึ้นดอยหลวงเชียงดาว” ทำให้มีผู้ให้ความคิดเห็นหลากหลายทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ตัวนายปรี๊ดไปเยือนยอดเขาหินปูนแห่งนี้ถึง 3 ครั้ง เพราะในมุมของนักชีววิทยาดอยหลวงเชียงดาว คือ “หิมาลัยแบบไทยๆ” เนื่องด้วยมีพืชและสัตว์เฉพาะถิ่นจำนวนมากอาศัยอยู่ในภูมิประเทศอัน ทุรกันดารซึ่งหาดูที่อื่นไม่ได้
หลายคนจึงสะท้อนความกังวลในฐานะเจ้าของทรัพยากรคนหนึ่งว่า หากนักท่องเที่ยวจำนวนมากหวังเพียงแต่ขึ้นกระเช้าไปปักหมุดลงไอโฟนหรือถ่าย ภาพลงเฟซบุ๊ก แทนที่จะเคารพและรักษาพื้นที่ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงแล้ว จะคุ้มกันหรือไม่กับสิ่งก่อสร้างต้นทุนสูง กระแสการสร้างกระเช้าไฟฟ้าดอยเชียงดาวจึงเริ่มเป็นที่สนใจอีกครั้ง หลังจากที่เงียบไปนานกว่า 10 ปี ปัญหาเรื่องนี้อาจบอบบางไม่ต่างกับธรรมชาติบนยอดดอย หรือสามารถขยับขยายจนเป็นฉนวนใหญ่จุดไฟทั้งด้านสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ และการเมืองขึ้นมาพร้อมๆ กัน
ดังนั้น การหาวิธีการเพื่อสะท้อนความคิดของคนแต่ละฝ่ายตามหลักการคิดอย่างเป็นวิทยา ศาสตร์ เช่น การวิเคราะห์ข้อเท็จจริง แยกแยะ รวบรวม และชั่งน้ำหนักก่อนตัดสินใจอาจมีผลดี หรือลดผลกระทบที่ตามมาได้มากที่สุด
หนึ่งในวิธีคิดที่พูดกันมานาน สอนกันมานาน แต่กลับนำมาใช้น้อยมากในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมที่ปะปนด้วยข้อ เท็จจริงและความขัดแย้ง คือ “คิดแบบหมวก 6 ใบ” หรือการจำลองการสวมหมวกสีต่างๆ เพื่อกำหนดกรอบความคิดให้ชัดเจนในแต่ละประเด็น ซึ่งเสนอโดย ดร. เอดเวิร์ด เดอ โบโน (Edward de Bono) นักจิตวิทยาชาวมอลต้า เมื่อปี 1985 ในหนังสือชื่อ “Six Thinking Hats”
วิธีคิดที่ ดร. เดอ โบโน ใช้เป็นวิธีคิดแบบแนวข้าง (Lateral thinking) ซึ่งจะให้ความสำคัญกับการจัดการข้อเท็จจริงและความคิดสร้างสรรค์ที่กระจัด กระจายอยู่รอบๆ ปัญหามาแยกแยะเป็นก้อนๆ เพื่อให้สะดวกต่อการต่อยอดทางความคิด ซึ่งเป็นการขยายกรอบในกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) ที่ต้องเริ่มต้นจับปัญหาให้มั่น และหาเหตุผลหรือวิธีแก้เป็นขั้นๆ ในแนวดิ่ง (Horizontal หรือ Logic to logic thinking)
หากเปรียบง่ายๆ วิธีคิดแนวข้างอาจเหมือนการมองปัญหา และข้อเท็จจริงให้ทั่วทั้งก้อน แล้วนำไปวางตามขั้นบันได เพื่อวางแผนหรือกำหนดขั้นตอนการแก้ปัญหาที่ต้องเดินไปเป็นขั้นเป็นตอนให้ ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะระหว่างทางการเดินบนบันไดก็สามารถหยิบวัตถุดิบทางความคิดที่หลากหลาย นั้นมาใช้ได้สะดวก จึงเหมาะสมกับปัญหาที่มีผลกระทบกับคนหลายฝ่ายและมีความคิดเห็นจำนวนมาก
ครั้งนี้นายปรี๊ดจึงขอลองใช้ตัวอย่าง “ปัญหากระเช้าไฟฟ้ากับดอยหลวง” ซึ่งมีความคิดเห็นหลากหลายมาเป็นตัวอย่างว่าเราจะสามารถหาวัตถุดิบทางความ คิดจากความแตกต่างนี้ได้อย่างไร แล้วจะมีไอเดียไหนที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด ถือว่าวันนี้เราใช้เรื่องกระเช้าดอยหลวงเชียงดาวเป็นแบบฝึกหัดเล็กๆ เพื่อมองปัญหาสังคมแบบแยกแยะก็แล้วกันครับ
หมวกสีขาว: หมวกแห่งข้อเท็จจริง หมวกสีขาวใช้แทนการให้ข้อเท็จจริง โดยไม่มีอารมณ์และความรู้สึกมาเกี่ยวข้อง นักวิทยาศาสตร์หรือนักวิชาการจึงมักถูกคาดหมายให้แสดงออกในลักษณะนี้ ดอยหลวงเชียงดาวเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดอันดับ 3 ของประเทศ แต่ถ้าเทียบกันระหว่างเขาหินปูนยอดดอยหลวงเชียงดาวนับว่าสูงที่สุดที่ระดับ ความสูง 2,275 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ความพิเศษของพื้นที่แห่งนี้ คือ ลักษณะของเขาหินปูนที่แข็งแกร่งแต่มีรูพรุนทำให้เก็บกักน้ำบนพื้นผิวไม่ได้ มีลมพัดแรงตลอดทั้งวัน ทำให้พรรณพืชที่ขึ้นมีลักษณะเป็นพุ่มเตี้ย หรือเป็นกอเล็กๆ ซึ่งภูมิประเทศประหลาดนี้ถูกเรียกว่าภูมิประเทศกึ่งอัลไพน์ (semi-alpine) คล้ายกับบางส่วนในเทือกเทือกเขาแอลป์และหิมาลัยแต่ก็มีความสูงน้อยกว่าและ แห้งแล้งกว่า
จนทำให้พืชและสัตว์เกือบทั้งหมดที่สามารถปรับตัวอาศัยอยู่ที่นี่ได้ เป็น “สิ่งมีชีวิตถิ่นเดียว” ที่ไม่สามารถพบที่อื่น เช่น ต้นเทียนนกแก้ว ชมพูเชียงดาว คำป้อหลวง ดอกหรีดเชียงดาว กุหลาบพันปี ค้อเชียงดาว และกล้วยไม้สิรินธร ซึ่งเป็นสกุลใหม่ของโลก และมีความอ่อนไหวทางชีววิทยามากเพราะมักจะออกดอกผลในฤดูหนาว และพักตัวในฤดูแล้ง ส่วนสัตว์ก็พบ ไก่ฟ้าหางลายขวาง นกไต่ไม้ใหญ่ และสัตว์สงวนที่ใกล้สูญพันธุ์ที่สุดชนิดหนึ่งของไทยคือกวางผา
ดอยหลวงเชียงดาวมีความสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือเป็นต้นน้ำของลุ่มน้ำปิง จนทำให้พื้นที่แห่งนี้ถูกจัดเป็น “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว” ซึ่งมีจุดประสงค์หลักในการอนุรักษ์ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตเป็นหลัก ซึ่งต่างจากการประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อกิจกรรมสันทนาการและการท่องเที่ยวพ่วงเข้าไปด้วย
ส่วนที่มาของการแนวคิดสร้างกระเช้าไฟฟ้า เริ่มต้นในปี 2546 เมื่อมีคนใหญ่คนโตท่านหนึ่งนั่งเฮลิคอปเตอร์ผ่านยอดเขาแล้วพูดว่า “น่าจะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว” แนวคิดต่างๆ จึงผุดขึ้นมาจนสุดท้ายมาลงที่การสร้างกระเช้าไฟฟ้าด้วบงบประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท แต่ด้วยขณะนั้นมีเสียงคัดค้านมากกกว่าสนับสนุน ทั้งสื่อ ภาคประชาขน และ NGOs ท้องถิ่น จนเกิดการรวมตัวเป็นภาคีดอยเขียงดาว เรื่องกระเช้าไฟฟ้านี้จึงเงียบลง จนกลับมาเป็นกระแสอีกครั้งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง
หมวกสีแดง: หมวกแห่งความรู้สึก การใส่หมวกสีแดงเหมือนการปลดปล่อยความรู้สึก ทั้งดี ร้าย ลางสังหรณ์และความประทับใจต่างๆ สำหรับความคิดใต้หมวกสีแดง นายปรี๊ดประทับใจธรรมชาติของดอยหลวงเชียงดาวทั้งในมุมของนักเดินทางและนัก ชีววิทยา ในแง่มุมของนักเดินทาง ทางขึ้นดอยหลวงเชียงดาวท้าทายอย่างที่สุด เพราะต้องปีนเขาชันเท้าฝ่าแดดเปรี้ยงบนสันเข้าหินปูนที่มีร่มไม้ให้หลบเงา เพียงน้อยนิด ไม่มีแหล่งน้ำ ไม่มีฟ้า ไม่มีห้องน้ำตลอดระยะทางเกือบ 10 กิโลเมตร พบตกค่ำอากาศจะจะเย็นลงอย่างรวดเร็ว ก่อไฟไม่ได้เพราะไม่มีฟืน เล่นดนตรีไม่ได้เพราะจะรบกวนสัตว์ป่า แถมเดินไปไหนไม่ได้เพราะมีพื้นที่ราบไม่มาก
หากแต่ดอยหลวงเชียงดาวถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางนิเวศน์ที่สมบูรณ์ แบบเพราะเมื่อตื่นมาในยามเช้ารางวัลยิ่งใหญ่คือการรับแสงแดดแรกบนยอดเขาสูง กลางทะเลหมอกที่กว้างสุดตา ซึ่งหลายคนที่ไปก็ล้วนแต่ได้สัมผัสถึงความนับถือในความมุ่งมั่นและร่างกาย ที่แข็งแรงของตนเองและความสามัคคีในหมู่เพื่อนร่วมทางที่พากันมาได้ถึงขนาด นี้
ในแง่ของนักชีววิทยาดอยหลวงเชียงดาว คือ “ความฝันที่จับต้องได้” ทุกครั้งที่ไปเยือนนายปรี๊ดมักนั่งขลุกอยู่กับพื้นได้นานเป็นวันๆ เพียงเพื่อได้ก้มดูพืชพรรณแปลกตาที่ไม่พบที่ไหน มองเขาหินปูนและรับรู้บรรยากาศที่จำกัดให้สัตว์มีชีวิตต้องปรับตัวให้อยู่ รอด หรือนั่งเฝ้าดูนกกินปลีสีแดงเพลิงบินดอมดอกกุหลาบพันปีอยู่ไกลๆ หรืออาจะเพราะที่นี่เป็นเพียง “ที่เดียว” ในประเทศที่พาเราบินไปใกล้“หิมาลัย” ได้มากที่สุด อีกทั้งต้นไม้เล็กๆ ในบนยอดดอยที่แห้งแล้งอาจใช้เวลาหลายสิบปีในการเติบโต แต่การเหยียบย่ำเพียงครั้งเดียวอาจจบทุกอย่างได้ หากวันหนึ่งทุกอย่างหายไปก็เท่ากับว่าประเทศเราได้สูญเสีย “มรดกแผ่นดิน” ที่มีค่าไปและไม่มีโอกาสได้คืนมาอย่างเดิมแน่นอน
การคิดแบบหมวก 6 ใบ

หมวกสีเหลือง: หมวกแห่งการสนับสนุน เวลาสวมหมวกสีเหลืองสิ่งที่ต้องแสดงออกคือความหวัง ความคิดเพื่อสนับสนุนในเชิงบวก นายปรี๊ดเชื่อว่าการสร้างกระเช้ามีข้อดีกับชุมชน ในแง่ของความสะดวกสบายและเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้มีโอกาสมาเยี่ยมชม น่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้คนทุกเพศทุกวัยทั้งเด็ก วัยรุ่น และคนชราได้สัมผัสความมหัศจรรย์ของธรรมชาติอันจำเพาะถิ่นได้ง่ายขึ้น เพราะหากดำเนินการได้ตามแผนงานเดิมดอยเชียงดาวอาจรับรองนักท่องเที่ยวแบบครบ วงจรได้ทั้งภัทตาคาร ที่พัก และศูนย์การค้าที่จะสร้างขึ้นได้มากถึงปีละ 20,000 คน ถ้าจัดการได้ดีก็น่าจะทำให้ประชาชนรอบๆ มีโอกาสมีรายได้จากการท่องเที่ยวได้มาก ในแนวคิดแบบทุนนิยมอาจจะถือว่ามีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อชุมชนมากทีเดียว และอาจนำงบประมาณการพัฒนาด้านอื่นๆ เช่น ถนน เข้ามาในพื้นที่ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
หมวกสีดำ: หมวกแห่งการทบทวน ใช้ชี้จุดอ่อน การวิจารณ์จากบทเรียนในอดีต ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต คำเตือน หรือข้อควรระวัง ซึ่งหมวกใบนี้ถูกพูดถึงอย่างมากเมื่อกระเช้าไฟฟ้าถูกนำมาเป็นประเด็น และแน่นอนว่าหลายเรื่องล้วนแต่น่าห่วงทั้งสิ้น อันดับแรกคือ พื้นที่รองรับคนบนยอดดอยหลวงนั้นจำกัดมาก เพราะบนยอดดอยมีพื้นที่ราบที่ใช้กางเตนท์ก่อนขึ้นถึงยอดดอยกว้างเพียงสนามบา สเก็ตบอลต่อกันสัก 2 สนาม
ส่วนยอดดอยนั้นแคบมากขนาดเท่ากับสนามแบดมินตันเล็กๆ เท่านั้นแถมพื้นก็ยังเป็นหินแหลมคม ตะปุ่มตะป่ำเต็มไปด้วยมอสและพรรณไม้หายากซ่อนตัวอยู่ ในฤดูแล้งก็มักจะมีไฟป่าตามธรรมชาติลุกโซนเพราะพืชพรรณจะกลายเป็นเชื้อเพลิง ชั้นดีจนทำให้เขตรักษาพันธุ์มีข้อห้ามขึ้นดอยหลวงในช่วงฤดูแล้ง จนบางคนให้เหตุผลน่าฟังว่า “อาจต้องลืมเรื่องพาคนแก่และเด็กมาเที่ยวได้เลย เพราะวัยรุ่นแข็งแรงแค่เดินเล่นยังลำบาก” การสร้างกระเช้าซึ่งต้องมีสถานีรับส่งคน ไม่ว่าจะขนาดใด หรือจะอนุญาตให้พักค้างคืนได้หรือไม่ก็ตามอาจจะทำให้พื้นที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพนี้พังครืนลงได้ง่ายๆ ซึ่งยังไม่นับปริมาณขยะและห้องน้ำที่ต้องสร้างเพิ่มเติมอีก
ในทางกฏหมายดอยหลวงเชียงดาวยังอยู่ในฐานะเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซึ่ง มีจุดมุ่งหมายเพื่อการอนุรักษ์อย่างเข้มงวดเป็นหลัก ไม่ใช่การท่องเที่ยวการสร้างกระเช้าจึงอาจจะไม่ได้มีเพียงชุมชนเพียงอย่าง เดียวที่สามารถตัดสินใจได้ อย่างน้อยที่สุดกรมอุทยานแห่งชาติก็ต้องแก้ไข พรบ.พื้นที่อนุรักษ์เพื่อเปลี่ยนจุดประสงค์ไปสู่การสันทนาการซึ่งก็น่าจะ เป็นเรื่องใหญ่
ส่วนเรื่องที่สำคัญที่สุด คือ เรื่องของงบประมาณที่อาจได้ผลกำไรไม่คุ้มทุน เพราะพื้นฐานนักท่องเที่ยวไทยนั้นชอบลองของใหม่ไปเรื่อยๆ หากวันหนึ่งธรรมชาติบนดอยหลวงเชียงดาวเปลี่ยนไป มีคนจำนวนมากแย่งกันกินกันใช้จนพื้นที่หมดความนิยมในมนต์คลังของการเดินทาง ใครจะรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับธรรมชาติ วัฒนธรรมและงบประมาณที่สูญเสียไป จนคนท้องถิ่นบางท่านให้ความเห็นว่า ”อย่าให้เชียงดาวเหมือนเมืองปายแห่งที่สองเลย…เก็บไว้อย่างนี้จะยั่งยืนกว่า ไหม?”
หมวกสีเขียว: หมวกแห่งการสร้างสรรค์ หมวกสีเขียวใช้แสดงความคิดหรือไอเดียที่สร้างสรรค์และเป็นไปได้จริง กระเช้าไฟฟ้าในประเทศต้นแบบ เช่น สกีรีสอร์ทในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งคนใหญ่คนโตชอบไปดูงานอาจดูน่าสนใจในแง่การท่องเที่ยว แต่ก็เพราะทางขึ้นไม่มีอะไรสนใจนอกจากหิมะ การเดินเท้าก็ยากลำบากและเสี่ยงภัย กระเช้าไฟฟ้าจึงเป็นทั้งนวัตกรรมและสิ่งจำเป็นในการเดินทาง แต่ยอดเขามีชื่อหลายแห่งของโลกเข่น คิรีมานจาโรในแอฟริกา หิมาลัยในทิเบต เขาฟูจิในญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งโคตาคินาบาลูในมาเลย์เซียล้วนแล้วแต่มีเสน่ห์และสร้างรายได้ ด้วยการเดินเท้า
จากประสบการณ์ส่วนตัวที่นายปรี๊ดเคยร่วมทีมสำรวจเส้นทางเดินเท้าขึ้น เขาลูกหนึ่งทางตะวันตกของไทย ซึ่งเป็นเขาหินปูนแห้งแล้ง ไม่มีร่มไม้ ทางเดินก็เสี่ยงเต็มไปด้วยหินผาชัน แต่มีทิวทัศน์ที่สวยอย่างน่าอัศจรรย์ หลังจากอุทยานพัฒนาข้อมูลพื้นฐานด้านทรัพยากร และเปิดให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวเพียง 25 คนต่อวัน รายได้ขั้นต่ำของไกด์และลูกหาบท้องถิ่น จุดพักแรม และข้อบังคับการขนขยะกลับ และเปิดเป็นเส้นทางพิสูจน์ใจมากว่า 5 ปี ทุกวันนี้ยอดเขาแห่งนั้นมีนักเดินทางขึ้นไปเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย มีคิวจองล่วงหน้าเป็นเดือนๆ พร้อมกับรายได้ของชุมชนที่มีเข้ามาอย่างยั่งยืน
ประสบการณ์ที่ว่ามานี้อาจเป็นตัวอย่างหนึ่งของการจัดการที่ “ระบบ” ที่ไม่ต้องใช้ “การลงเงิน” แต่ต้องใช้ความจริงใจในการแก้ปัญหาและเปิดให้ชาวบ้านรอบพื้นที่มีส่วนร่วมใน การจัดการมากกว่าแค่การขอคะแนนเสียงเพื่อทำประชาพิจารณ์ปลดล็อคงบประมาณออก จากคลังเท่านั้น หรือหากมีเงินลงทุนและต้องการดึงนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักเข้ามาแทน การคิดวิธีขายแบบอื่นๆ ก็อาจเป็นไปได้ เช่น การทำบอลลลูนชมวิวที่ส่งผลกระทบต่อธรรมชาติน้อยกว่า แต่ได้เห็นความสวยงามของธรรมชาติเช่นกัน ซึ่งวิธีนี้ได้มีบริษัทเอกชนเปิดกิจการในเมืองพุกามเพื่อชมทะเลเจดีย์ในราคา หัวละกว่าหมื่นบาทและแน่นอนว่ายอดจองถล่มทลายต้องติดต่อล่วงหน้าเป็นเดือนๆ สะท้อนให้เห็นว่า “วิธีคิด” และ “วิธีขาย” ให้มีผลกระทบกับธรรมชาติน้อยที่สุดอาจจะเป็นทางที่สร้างสรรค์กว่า?
หมวกสีฟ้า: หมวกแห่งการตัดสินใจ เมื่อเสนอทุกภาพข้อสรุปจึงมาถึง หมวกสีฟ้าใช้เพื่อการตัดสินและควบคุมกระบวนการ หรืออาจพูดว่าเป็นบันได้ขั้นบนสุดก่อนเปิดประตูเดินออกไปแก้ปัญหา พร้อมกับข้อเท็จจริงและข้อดี ข้อเสียที่เก็บสะสม วิเคราะห์มาตามรายทางบนบันไดแต่ละขั้นหรือหมวกแต่ละใบ สำหรับข้อนี้นายปรี๊ดอยากเสนอให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้นั่งคุยกันอย่าง จริงจัง และแยกแยะข้อดีข้อเสียให้ดี หากเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบและเริ่มพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ที่รายรอบดอยหลวงเชียงดาวก่อน เช่น วัดถ้ำเชียงดาว หรืออ่างน้ำร้อนแบบออนเซ็นบริเวณตีนดอยเชียงดาวที่มีนักท่องเที่ยวไทย และแบ็คแพ็คเกอร์ญี่ปุ่นมาเยือนเป็นประจำ พัฒนาเกสต์เฮาส์ให้สอดแทรกวิถีชีวิตของคนเชียงดาว พัฒนาเอกลักษณ์ของตลาดเล็กๆ กลางเมือง ลำธารใสที่ไหลจากยอดดอยที่นิ่งเรียบมีเสน่ห์แบบชาวบ้าน ไปจนถึงระบบไกด์และลูกหาบที่ไม่ผูกขาด อาจถือเป็นการเริ่มต้นพัฒนาที่ไม่ต้องใช้ทุนรอนมากมาย แต่ได้เปิดโอกาสให้ชุมชนได้ลองคิดได้ทำสิ่งใหม่...เผลอๆ สักวันหนึ่งอาจไม่ต้องรอกระเช้าราคาแพงที่ไม่รู้ว่าวันไหนจะได้เริ่มสร้าง คนรอบดอยหลวงอาจนั่งยิ้มนับเงินแบบยั่งยืนอย่างไม่รู้ตัว
นายปรี๊ดมักเปรียบการท่องเที่ยวเหมือนการเลือกซื้อรองเท้า ช่างบางคนเลือกใช้วัสดุราคาถูกตัดตามแฟชั่นประเดี่ยวประด๋าว คนซื้อใส่ไม่กี่ครั้งก็ต้องหาเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ช่างบางคนใช้วัสดุราคาแพง รูปแบบเรียบง่าย แต่พิถีพิถัน รองเท้าจึงมีราคาแพงและผู้ใช้พอใจใส่ได้นานเป็นสิบปี สุดท้ายใครอยากเป็นช่างแบบไหนก็ต้องตัดสินใจกันให้ดี คิดกันให้รอบด้าน เพราะคนซื้อสมัยนี้เค้าช่างเลือก มีรสนิยมหลากหลาย และไม่ชอบให้ใครมาชักนำ ใครจะจับรองเท้าไปยัดเท้าใครคงไม่ยอมง่ายๆ แถมเมื่อไม่พอใจยังป่าวประกาศบอกเพื่อนฝูงให้ “แบน” ร้านท่านได้ภายในไม่กี่นาทีอีกด้วย
เกี่ยวกับผู้เขียน
“นายปรี๊ด” นักศึกษาทุนปริญญาเอกด้านชีววิทยา ซึ่งมีประสบการณ์ในแวดวงวิทยาศาสตร์อย่างหลากหลาย
ทั้งงานสอน บทความเชิงสารคดี ผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ ทำสื่อการสอน ของเล่นเชิงวิทยาศาสตร์
กรรมการตัดสินโครงงาน วิทยากรบรรยายและนักจัดกิจกรรมเพื่อการจุดประการวิทยาศาสตร์จากสิ่งใกล้ตัว
ติดตามอ่านบทความของนายปรี๊ดที่จะมาแคะคุ้ยเรื่องวิทย์ๆ...สะกิดต่อม คิด ให้เรื่องเล็กแสนธรรมดากลายเป็นความรู้ก้อนใหม่ ได้ทุกวันอาทิตย์เว้นอาทิตย์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
13 มกราคม 2556 12:19 น.
ภาพดอยหลวงเชียงดาว ของคุณ “Jungle Man” ที่กระจายข่าวเกี่ยวกับการปลุกกระแสกระเช้าไฟฟ้าที่
เงียบหายไปกว่า 10 ปีจนเป็นกระแสสังคมในโซเซียลเน็ตเวิร์ค
การแก้ปัญหาด้วยการคิดแยกแยะเหตุผลที่ไปที่มาให้แจ่มแจ้ม ไม่ว่าจะคิดร่วมกันหรือนั่งคิดคนเดียว อาจทำให้รับมือกับปัญ
หาโหดหินได้ง่ายขึ้น เมื่อเกิดปัญหาสาธารณะ การแยกแยะข้อดี ข้อเสีย เพื่อสร้างสรรค์แนวคิดใหม่ๆ บนเหตุและผลที่หลากหลายเพื่อตัดสินใจร่วมกัน อาจทำได้ด้วยวิธีคิดแบบ “หมวก 6 ใบ”
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีภาพดอยหลวงเชียงดาวยามเช้าที่โพสโดยช่างภาพ ท่านหนึ่งกระจายบนโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างรวดเร็ว เพราะเนื้อความได้พูดถึง “การปลุกกระแสสร้างกระเช้าขึ้นดอยหลวงเชียงดาว” ทำให้มีผู้ให้ความคิดเห็นหลากหลายทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ตัวนายปรี๊ดไปเยือนยอดเขาหินปูนแห่งนี้ถึง 3 ครั้ง เพราะในมุมของนักชีววิทยาดอยหลวงเชียงดาว คือ “หิมาลัยแบบไทยๆ” เนื่องด้วยมีพืชและสัตว์เฉพาะถิ่นจำนวนมากอาศัยอยู่ในภูมิประเทศอัน ทุรกันดารซึ่งหาดูที่อื่นไม่ได้
หลายคนจึงสะท้อนความกังวลในฐานะเจ้าของทรัพยากรคนหนึ่งว่า หากนักท่องเที่ยวจำนวนมากหวังเพียงแต่ขึ้นกระเช้าไปปักหมุดลงไอโฟนหรือถ่าย ภาพลงเฟซบุ๊ก แทนที่จะเคารพและรักษาพื้นที่ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงแล้ว จะคุ้มกันหรือไม่กับสิ่งก่อสร้างต้นทุนสูง กระแสการสร้างกระเช้าไฟฟ้าดอยเชียงดาวจึงเริ่มเป็นที่สนใจอีกครั้ง หลังจากที่เงียบไปนานกว่า 10 ปี ปัญหาเรื่องนี้อาจบอบบางไม่ต่างกับธรรมชาติบนยอดดอย หรือสามารถขยับขยายจนเป็นฉนวนใหญ่จุดไฟทั้งด้านสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ และการเมืองขึ้นมาพร้อมๆ กัน
ดังนั้น การหาวิธีการเพื่อสะท้อนความคิดของคนแต่ละฝ่ายตามหลักการคิดอย่างเป็นวิทยา ศาสตร์ เช่น การวิเคราะห์ข้อเท็จจริง แยกแยะ รวบรวม และชั่งน้ำหนักก่อนตัดสินใจอาจมีผลดี หรือลดผลกระทบที่ตามมาได้มากที่สุด
หนึ่งในวิธีคิดที่พูดกันมานาน สอนกันมานาน แต่กลับนำมาใช้น้อยมากในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมที่ปะปนด้วยข้อ เท็จจริงและความขัดแย้ง คือ “คิดแบบหมวก 6 ใบ” หรือการจำลองการสวมหมวกสีต่างๆ เพื่อกำหนดกรอบความคิดให้ชัดเจนในแต่ละประเด็น ซึ่งเสนอโดย ดร. เอดเวิร์ด เดอ โบโน (Edward de Bono) นักจิตวิทยาชาวมอลต้า เมื่อปี 1985 ในหนังสือชื่อ “Six Thinking Hats”
วิธีคิดที่ ดร. เดอ โบโน ใช้เป็นวิธีคิดแบบแนวข้าง (Lateral thinking) ซึ่งจะให้ความสำคัญกับการจัดการข้อเท็จจริงและความคิดสร้างสรรค์ที่กระจัด กระจายอยู่รอบๆ ปัญหามาแยกแยะเป็นก้อนๆ เพื่อให้สะดวกต่อการต่อยอดทางความคิด ซึ่งเป็นการขยายกรอบในกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) ที่ต้องเริ่มต้นจับปัญหาให้มั่น และหาเหตุผลหรือวิธีแก้เป็นขั้นๆ ในแนวดิ่ง (Horizontal หรือ Logic to logic thinking)
หากเปรียบง่ายๆ วิธีคิดแนวข้างอาจเหมือนการมองปัญหา และข้อเท็จจริงให้ทั่วทั้งก้อน แล้วนำไปวางตามขั้นบันได เพื่อวางแผนหรือกำหนดขั้นตอนการแก้ปัญหาที่ต้องเดินไปเป็นขั้นเป็นตอนให้ ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะระหว่างทางการเดินบนบันไดก็สามารถหยิบวัตถุดิบทางความคิดที่หลากหลาย นั้นมาใช้ได้สะดวก จึงเหมาะสมกับปัญหาที่มีผลกระทบกับคนหลายฝ่ายและมีความคิดเห็นจำนวนมาก
ครั้งนี้นายปรี๊ดจึงขอลองใช้ตัวอย่าง “ปัญหากระเช้าไฟฟ้ากับดอยหลวง” ซึ่งมีความคิดเห็นหลากหลายมาเป็นตัวอย่างว่าเราจะสามารถหาวัตถุดิบทางความ คิดจากความแตกต่างนี้ได้อย่างไร แล้วจะมีไอเดียไหนที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด ถือว่าวันนี้เราใช้เรื่องกระเช้าดอยหลวงเชียงดาวเป็นแบบฝึกหัดเล็กๆ เพื่อมองปัญหาสังคมแบบแยกแยะก็แล้วกันครับ
หมวกสีขาว: หมวกแห่งข้อเท็จจริง หมวกสีขาวใช้แทนการให้ข้อเท็จจริง โดยไม่มีอารมณ์และความรู้สึกมาเกี่ยวข้อง นักวิทยาศาสตร์หรือนักวิชาการจึงมักถูกคาดหมายให้แสดงออกในลักษณะนี้ ดอยหลวงเชียงดาวเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดอันดับ 3 ของประเทศ แต่ถ้าเทียบกันระหว่างเขาหินปูนยอดดอยหลวงเชียงดาวนับว่าสูงที่สุดที่ระดับ ความสูง 2,275 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ความพิเศษของพื้นที่แห่งนี้ คือ ลักษณะของเขาหินปูนที่แข็งแกร่งแต่มีรูพรุนทำให้เก็บกักน้ำบนพื้นผิวไม่ได้ มีลมพัดแรงตลอดทั้งวัน ทำให้พรรณพืชที่ขึ้นมีลักษณะเป็นพุ่มเตี้ย หรือเป็นกอเล็กๆ ซึ่งภูมิประเทศประหลาดนี้ถูกเรียกว่าภูมิประเทศกึ่งอัลไพน์ (semi-alpine) คล้ายกับบางส่วนในเทือกเทือกเขาแอลป์และหิมาลัยแต่ก็มีความสูงน้อยกว่าและ แห้งแล้งกว่า
จนทำให้พืชและสัตว์เกือบทั้งหมดที่สามารถปรับตัวอาศัยอยู่ที่นี่ได้ เป็น “สิ่งมีชีวิตถิ่นเดียว” ที่ไม่สามารถพบที่อื่น เช่น ต้นเทียนนกแก้ว ชมพูเชียงดาว คำป้อหลวง ดอกหรีดเชียงดาว กุหลาบพันปี ค้อเชียงดาว และกล้วยไม้สิรินธร ซึ่งเป็นสกุลใหม่ของโลก และมีความอ่อนไหวทางชีววิทยามากเพราะมักจะออกดอกผลในฤดูหนาว และพักตัวในฤดูแล้ง ส่วนสัตว์ก็พบ ไก่ฟ้าหางลายขวาง นกไต่ไม้ใหญ่ และสัตว์สงวนที่ใกล้สูญพันธุ์ที่สุดชนิดหนึ่งของไทยคือกวางผา
ดอยหลวงเชียงดาวมีความสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือเป็นต้นน้ำของลุ่มน้ำปิง จนทำให้พื้นที่แห่งนี้ถูกจัดเป็น “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว” ซึ่งมีจุดประสงค์หลักในการอนุรักษ์ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตเป็นหลัก ซึ่งต่างจากการประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อกิจกรรมสันทนาการและการท่องเที่ยวพ่วงเข้าไปด้วย
ส่วนที่มาของการแนวคิดสร้างกระเช้าไฟฟ้า เริ่มต้นในปี 2546 เมื่อมีคนใหญ่คนโตท่านหนึ่งนั่งเฮลิคอปเตอร์ผ่านยอดเขาแล้วพูดว่า “น่าจะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว” แนวคิดต่างๆ จึงผุดขึ้นมาจนสุดท้ายมาลงที่การสร้างกระเช้าไฟฟ้าด้วบงบประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท แต่ด้วยขณะนั้นมีเสียงคัดค้านมากกกว่าสนับสนุน ทั้งสื่อ ภาคประชาขน และ NGOs ท้องถิ่น จนเกิดการรวมตัวเป็นภาคีดอยเขียงดาว เรื่องกระเช้าไฟฟ้านี้จึงเงียบลง จนกลับมาเป็นกระแสอีกครั้งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง
หมวกสีแดง: หมวกแห่งความรู้สึก การใส่หมวกสีแดงเหมือนการปลดปล่อยความรู้สึก ทั้งดี ร้าย ลางสังหรณ์และความประทับใจต่างๆ สำหรับความคิดใต้หมวกสีแดง นายปรี๊ดประทับใจธรรมชาติของดอยหลวงเชียงดาวทั้งในมุมของนักเดินทางและนัก ชีววิทยา ในแง่มุมของนักเดินทาง ทางขึ้นดอยหลวงเชียงดาวท้าทายอย่างที่สุด เพราะต้องปีนเขาชันเท้าฝ่าแดดเปรี้ยงบนสันเข้าหินปูนที่มีร่มไม้ให้หลบเงา เพียงน้อยนิด ไม่มีแหล่งน้ำ ไม่มีฟ้า ไม่มีห้องน้ำตลอดระยะทางเกือบ 10 กิโลเมตร พบตกค่ำอากาศจะจะเย็นลงอย่างรวดเร็ว ก่อไฟไม่ได้เพราะไม่มีฟืน เล่นดนตรีไม่ได้เพราะจะรบกวนสัตว์ป่า แถมเดินไปไหนไม่ได้เพราะมีพื้นที่ราบไม่มาก
หากแต่ดอยหลวงเชียงดาวถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางนิเวศน์ที่สมบูรณ์ แบบเพราะเมื่อตื่นมาในยามเช้ารางวัลยิ่งใหญ่คือการรับแสงแดดแรกบนยอดเขาสูง กลางทะเลหมอกที่กว้างสุดตา ซึ่งหลายคนที่ไปก็ล้วนแต่ได้สัมผัสถึงความนับถือในความมุ่งมั่นและร่างกาย ที่แข็งแรงของตนเองและความสามัคคีในหมู่เพื่อนร่วมทางที่พากันมาได้ถึงขนาด นี้
ในแง่ของนักชีววิทยาดอยหลวงเชียงดาว คือ “ความฝันที่จับต้องได้” ทุกครั้งที่ไปเยือนนายปรี๊ดมักนั่งขลุกอยู่กับพื้นได้นานเป็นวันๆ เพียงเพื่อได้ก้มดูพืชพรรณแปลกตาที่ไม่พบที่ไหน มองเขาหินปูนและรับรู้บรรยากาศที่จำกัดให้สัตว์มีชีวิตต้องปรับตัวให้อยู่ รอด หรือนั่งเฝ้าดูนกกินปลีสีแดงเพลิงบินดอมดอกกุหลาบพันปีอยู่ไกลๆ หรืออาจะเพราะที่นี่เป็นเพียง “ที่เดียว” ในประเทศที่พาเราบินไปใกล้“หิมาลัย” ได้มากที่สุด อีกทั้งต้นไม้เล็กๆ ในบนยอดดอยที่แห้งแล้งอาจใช้เวลาหลายสิบปีในการเติบโต แต่การเหยียบย่ำเพียงครั้งเดียวอาจจบทุกอย่างได้ หากวันหนึ่งทุกอย่างหายไปก็เท่ากับว่าประเทศเราได้สูญเสีย “มรดกแผ่นดิน” ที่มีค่าไปและไม่มีโอกาสได้คืนมาอย่างเดิมแน่นอน
การคิดแบบหมวก 6 ใบ
หมวกสีเหลือง: หมวกแห่งการสนับสนุน เวลาสวมหมวกสีเหลืองสิ่งที่ต้องแสดงออกคือความหวัง ความคิดเพื่อสนับสนุนในเชิงบวก นายปรี๊ดเชื่อว่าการสร้างกระเช้ามีข้อดีกับชุมชน ในแง่ของความสะดวกสบายและเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้มีโอกาสมาเยี่ยมชม น่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้คนทุกเพศทุกวัยทั้งเด็ก วัยรุ่น และคนชราได้สัมผัสความมหัศจรรย์ของธรรมชาติอันจำเพาะถิ่นได้ง่ายขึ้น เพราะหากดำเนินการได้ตามแผนงานเดิมดอยเชียงดาวอาจรับรองนักท่องเที่ยวแบบครบ วงจรได้ทั้งภัทตาคาร ที่พัก และศูนย์การค้าที่จะสร้างขึ้นได้มากถึงปีละ 20,000 คน ถ้าจัดการได้ดีก็น่าจะทำให้ประชาชนรอบๆ มีโอกาสมีรายได้จากการท่องเที่ยวได้มาก ในแนวคิดแบบทุนนิยมอาจจะถือว่ามีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อชุมชนมากทีเดียว และอาจนำงบประมาณการพัฒนาด้านอื่นๆ เช่น ถนน เข้ามาในพื้นที่ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
หมวกสีดำ: หมวกแห่งการทบทวน ใช้ชี้จุดอ่อน การวิจารณ์จากบทเรียนในอดีต ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต คำเตือน หรือข้อควรระวัง ซึ่งหมวกใบนี้ถูกพูดถึงอย่างมากเมื่อกระเช้าไฟฟ้าถูกนำมาเป็นประเด็น และแน่นอนว่าหลายเรื่องล้วนแต่น่าห่วงทั้งสิ้น อันดับแรกคือ พื้นที่รองรับคนบนยอดดอยหลวงนั้นจำกัดมาก เพราะบนยอดดอยมีพื้นที่ราบที่ใช้กางเตนท์ก่อนขึ้นถึงยอดดอยกว้างเพียงสนามบา สเก็ตบอลต่อกันสัก 2 สนาม
ส่วนยอดดอยนั้นแคบมากขนาดเท่ากับสนามแบดมินตันเล็กๆ เท่านั้นแถมพื้นก็ยังเป็นหินแหลมคม ตะปุ่มตะป่ำเต็มไปด้วยมอสและพรรณไม้หายากซ่อนตัวอยู่ ในฤดูแล้งก็มักจะมีไฟป่าตามธรรมชาติลุกโซนเพราะพืชพรรณจะกลายเป็นเชื้อเพลิง ชั้นดีจนทำให้เขตรักษาพันธุ์มีข้อห้ามขึ้นดอยหลวงในช่วงฤดูแล้ง จนบางคนให้เหตุผลน่าฟังว่า “อาจต้องลืมเรื่องพาคนแก่และเด็กมาเที่ยวได้เลย เพราะวัยรุ่นแข็งแรงแค่เดินเล่นยังลำบาก” การสร้างกระเช้าซึ่งต้องมีสถานีรับส่งคน ไม่ว่าจะขนาดใด หรือจะอนุญาตให้พักค้างคืนได้หรือไม่ก็ตามอาจจะทำให้พื้นที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพนี้พังครืนลงได้ง่ายๆ ซึ่งยังไม่นับปริมาณขยะและห้องน้ำที่ต้องสร้างเพิ่มเติมอีก
ในทางกฏหมายดอยหลวงเชียงดาวยังอยู่ในฐานะเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซึ่ง มีจุดมุ่งหมายเพื่อการอนุรักษ์อย่างเข้มงวดเป็นหลัก ไม่ใช่การท่องเที่ยวการสร้างกระเช้าจึงอาจจะไม่ได้มีเพียงชุมชนเพียงอย่าง เดียวที่สามารถตัดสินใจได้ อย่างน้อยที่สุดกรมอุทยานแห่งชาติก็ต้องแก้ไข พรบ.พื้นที่อนุรักษ์เพื่อเปลี่ยนจุดประสงค์ไปสู่การสันทนาการซึ่งก็น่าจะ เป็นเรื่องใหญ่
ส่วนเรื่องที่สำคัญที่สุด คือ เรื่องของงบประมาณที่อาจได้ผลกำไรไม่คุ้มทุน เพราะพื้นฐานนักท่องเที่ยวไทยนั้นชอบลองของใหม่ไปเรื่อยๆ หากวันหนึ่งธรรมชาติบนดอยหลวงเชียงดาวเปลี่ยนไป มีคนจำนวนมากแย่งกันกินกันใช้จนพื้นที่หมดความนิยมในมนต์คลังของการเดินทาง ใครจะรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับธรรมชาติ วัฒนธรรมและงบประมาณที่สูญเสียไป จนคนท้องถิ่นบางท่านให้ความเห็นว่า ”อย่าให้เชียงดาวเหมือนเมืองปายแห่งที่สองเลย…เก็บไว้อย่างนี้จะยั่งยืนกว่า ไหม?”
หมวกสีเขียว: หมวกแห่งการสร้างสรรค์ หมวกสีเขียวใช้แสดงความคิดหรือไอเดียที่สร้างสรรค์และเป็นไปได้จริง กระเช้าไฟฟ้าในประเทศต้นแบบ เช่น สกีรีสอร์ทในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งคนใหญ่คนโตชอบไปดูงานอาจดูน่าสนใจในแง่การท่องเที่ยว แต่ก็เพราะทางขึ้นไม่มีอะไรสนใจนอกจากหิมะ การเดินเท้าก็ยากลำบากและเสี่ยงภัย กระเช้าไฟฟ้าจึงเป็นทั้งนวัตกรรมและสิ่งจำเป็นในการเดินทาง แต่ยอดเขามีชื่อหลายแห่งของโลกเข่น คิรีมานจาโรในแอฟริกา หิมาลัยในทิเบต เขาฟูจิในญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งโคตาคินาบาลูในมาเลย์เซียล้วนแล้วแต่มีเสน่ห์และสร้างรายได้ ด้วยการเดินเท้า
จากประสบการณ์ส่วนตัวที่นายปรี๊ดเคยร่วมทีมสำรวจเส้นทางเดินเท้าขึ้น เขาลูกหนึ่งทางตะวันตกของไทย ซึ่งเป็นเขาหินปูนแห้งแล้ง ไม่มีร่มไม้ ทางเดินก็เสี่ยงเต็มไปด้วยหินผาชัน แต่มีทิวทัศน์ที่สวยอย่างน่าอัศจรรย์ หลังจากอุทยานพัฒนาข้อมูลพื้นฐานด้านทรัพยากร และเปิดให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวเพียง 25 คนต่อวัน รายได้ขั้นต่ำของไกด์และลูกหาบท้องถิ่น จุดพักแรม และข้อบังคับการขนขยะกลับ และเปิดเป็นเส้นทางพิสูจน์ใจมากว่า 5 ปี ทุกวันนี้ยอดเขาแห่งนั้นมีนักเดินทางขึ้นไปเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย มีคิวจองล่วงหน้าเป็นเดือนๆ พร้อมกับรายได้ของชุมชนที่มีเข้ามาอย่างยั่งยืน
ประสบการณ์ที่ว่ามานี้อาจเป็นตัวอย่างหนึ่งของการจัดการที่ “ระบบ” ที่ไม่ต้องใช้ “การลงเงิน” แต่ต้องใช้ความจริงใจในการแก้ปัญหาและเปิดให้ชาวบ้านรอบพื้นที่มีส่วนร่วมใน การจัดการมากกว่าแค่การขอคะแนนเสียงเพื่อทำประชาพิจารณ์ปลดล็อคงบประมาณออก จากคลังเท่านั้น หรือหากมีเงินลงทุนและต้องการดึงนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักเข้ามาแทน การคิดวิธีขายแบบอื่นๆ ก็อาจเป็นไปได้ เช่น การทำบอลลลูนชมวิวที่ส่งผลกระทบต่อธรรมชาติน้อยกว่า แต่ได้เห็นความสวยงามของธรรมชาติเช่นกัน ซึ่งวิธีนี้ได้มีบริษัทเอกชนเปิดกิจการในเมืองพุกามเพื่อชมทะเลเจดีย์ในราคา หัวละกว่าหมื่นบาทและแน่นอนว่ายอดจองถล่มทลายต้องติดต่อล่วงหน้าเป็นเดือนๆ สะท้อนให้เห็นว่า “วิธีคิด” และ “วิธีขาย” ให้มีผลกระทบกับธรรมชาติน้อยที่สุดอาจจะเป็นทางที่สร้างสรรค์กว่า?
หมวกสีฟ้า: หมวกแห่งการตัดสินใจ เมื่อเสนอทุกภาพข้อสรุปจึงมาถึง หมวกสีฟ้าใช้เพื่อการตัดสินและควบคุมกระบวนการ หรืออาจพูดว่าเป็นบันได้ขั้นบนสุดก่อนเปิดประตูเดินออกไปแก้ปัญหา พร้อมกับข้อเท็จจริงและข้อดี ข้อเสียที่เก็บสะสม วิเคราะห์มาตามรายทางบนบันไดแต่ละขั้นหรือหมวกแต่ละใบ สำหรับข้อนี้นายปรี๊ดอยากเสนอให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้นั่งคุยกันอย่าง จริงจัง และแยกแยะข้อดีข้อเสียให้ดี หากเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบและเริ่มพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ที่รายรอบดอยหลวงเชียงดาวก่อน เช่น วัดถ้ำเชียงดาว หรืออ่างน้ำร้อนแบบออนเซ็นบริเวณตีนดอยเชียงดาวที่มีนักท่องเที่ยวไทย และแบ็คแพ็คเกอร์ญี่ปุ่นมาเยือนเป็นประจำ พัฒนาเกสต์เฮาส์ให้สอดแทรกวิถีชีวิตของคนเชียงดาว พัฒนาเอกลักษณ์ของตลาดเล็กๆ กลางเมือง ลำธารใสที่ไหลจากยอดดอยที่นิ่งเรียบมีเสน่ห์แบบชาวบ้าน ไปจนถึงระบบไกด์และลูกหาบที่ไม่ผูกขาด อาจถือเป็นการเริ่มต้นพัฒนาที่ไม่ต้องใช้ทุนรอนมากมาย แต่ได้เปิดโอกาสให้ชุมชนได้ลองคิดได้ทำสิ่งใหม่...เผลอๆ สักวันหนึ่งอาจไม่ต้องรอกระเช้าราคาแพงที่ไม่รู้ว่าวันไหนจะได้เริ่มสร้าง คนรอบดอยหลวงอาจนั่งยิ้มนับเงินแบบยั่งยืนอย่างไม่รู้ตัว
นายปรี๊ดมักเปรียบการท่องเที่ยวเหมือนการเลือกซื้อรองเท้า ช่างบางคนเลือกใช้วัสดุราคาถูกตัดตามแฟชั่นประเดี่ยวประด๋าว คนซื้อใส่ไม่กี่ครั้งก็ต้องหาเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ช่างบางคนใช้วัสดุราคาแพง รูปแบบเรียบง่าย แต่พิถีพิถัน รองเท้าจึงมีราคาแพงและผู้ใช้พอใจใส่ได้นานเป็นสิบปี สุดท้ายใครอยากเป็นช่างแบบไหนก็ต้องตัดสินใจกันให้ดี คิดกันให้รอบด้าน เพราะคนซื้อสมัยนี้เค้าช่างเลือก มีรสนิยมหลากหลาย และไม่ชอบให้ใครมาชักนำ ใครจะจับรองเท้าไปยัดเท้าใครคงไม่ยอมง่ายๆ แถมเมื่อไม่พอใจยังป่าวประกาศบอกเพื่อนฝูงให้ “แบน” ร้านท่านได้ภายในไม่กี่นาทีอีกด้วย
เกี่ยวกับผู้เขียน
“นายปรี๊ด” นักศึกษาทุนปริญญาเอกด้านชีววิทยา ซึ่งมีประสบการณ์ในแวดวงวิทยาศาสตร์อย่างหลากหลาย
ทั้งงานสอน บทความเชิงสารคดี ผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ ทำสื่อการสอน ของเล่นเชิงวิทยาศาสตร์
กรรมการตัดสินโครงงาน วิทยากรบรรยายและนักจัดกิจกรรมเพื่อการจุดประการวิทยาศาสตร์จากสิ่งใกล้ตัว
ติดตามอ่านบทความของนายปรี๊ดที่จะมาแคะคุ้ยเรื่องวิทย์ๆ...สะกิดต่อม คิด ให้เรื่องเล็กแสนธรรมดากลายเป็นความรู้ก้อนใหม่ ได้ทุกวันอาทิตย์เว้นอาทิตย์
วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555
อาการเพลียเรื้อรัง
อาหารกับอาการเพลียเรื้อรัง/ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล
คุณเคยมีอาการเหล่านี้หรือไม่?
เหนื่อยเป็นประจำ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง มีความรู้สึกซึมเศร้า แม้ว่าจะนอนมาทั้งคืนแล้วก็ยังไม่หาย อาการเป็นๆ หายๆ แต่จะเป็นมากกว่าหาย จนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
อาการเหล่านี้อาจมาจากสาเหตุของอาการเพลียเรื้อรัง (Chronic fatigue syndrome : CFS) ที่เกิดจากความผิดปกติจากระบบกลไกของร่างกาย โดยปัจจุบันนี้ยังไม่สามารถหาระบุสาเหตุได้แน่ชัด เมื่อเป็นโรคนี้จะส่งผลให้เกิดความอ่อนล้า เหนื่อยง่าย จนกลายเป็นอาการเรื้อรัง อาการนี้สามารถเกิดได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ บางการศึกษาระบุสาเหตุว่าอาจเกิดจากการที่มีโรคเรื้อรังอื่นมาก่อนและทำให้ ร่างกายเกิดกลไกสร้างความเครียดให้กับร่างกาย หรือบางการศึกษาระบุว่าเป็นเรื่องของจิตใจที่ไม่สามารถควบคุมได้
อาการของโรคเพลียเรื้อรัง
- มีอาการอ่อนเพลียที่เป็นอย่างต่อเนื่องมากกว่า 3 เดือนสำหรับเด็กหรือวัยรุ่น และมากกว่า 4 เดือนขึ้นไปสำหรับวัยผู้ใหญ่
- นอนไม่หลับ หลับๆ ตื่นๆ ฝันร้าย หรือตื่นมาตอนดึกและไม่สามารถนอนต่อได้ เป็นประจำ
- ปวดกล้ามเนื้อ หรือเมื่อยล้าบริเวณกล้ามเนื้อโดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณคอและบ่า
- ปวดหัว
- ไม่มีสมาธิ
- ความจำแย่ลง
- อาหารไม่ย่อย มีลมในกระเพาะอาหารเป็นประจำ
- แพ้อาหารที่ไม่เคยแพ้มาก่อน เช่น ข้าว ขนมปัง ไข่ ถั่วเหลือง โดยอาการแพ้อาจแสดงออกเช่น คลื่นไส้ มีผื่นขึ้นตามตัว ท้องเสียเป็นต้น
- อยากกินของหวาน ขนมหวาน น้ำตาลอยู่เป็นประจำ
แม้ว่ายังไม่มีอาหารที่สามารถช่วยรักษาอาการเพลียเรื้อรังให้หายขาด ได้ แต่การรับประทานอาหารที่ถูกต้องสามารถช่วยลดอาการเพลียเรื้อรังได้ ช่วยให้มีความรู้สึกที่สดชื่นขึ้น และช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายทำให้ลดการเกิดโรคแทรกซ้อนอย่างอื่น ตามมา
อาหารที่ควรรับประทาน
- รับประทานอาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรตในทุกมื้ออาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง ข้าวโอ๊ต เผือก มัน ข้าวโพด มันฝรั่งทั้งเปลือก ขนมปังโฮลวีต ธัญพืชไม่ขัดสี เหตุผลที่เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เพราะจะมีค่าของดัชนีน้ำตาลต่ำทำให้ร่างกายค่อยๆ ได้รับน้ำตาล และช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล ทำให้ลดอาการต่างๆ ลงได้
- รับประทานผักผลไม้ทุกวันโดยพยายามให้ได้ผักทุกมื้ออาหาร มื้อ ละอย่างน้อย 1 ทัพพี และผลไม้ 3-5 ส่วน (1 ส่วนเช่น ส้มเขียวหวาน 1 ลูก ชมพู่ 2 ลูก แอปเปิ้ลเล็ก 1 ลูก ฝรั่ง ½ ผล มะละกอสุก 6 ชิ้น กล้วย 1 ลูก) ผักและผลไม้เป็นแหล่งของสารอาหารที่มีประโยชน์และมีสารพฤกษาเคมีที่ช่วยเร่ง ให้ร่างกายต่อสู้กับอาการเพลียเรื้อรังรวมทั้งอาการข้างเคียง
- รับประทานโปรตีนให้เพียงพอและเลือกโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เนื่อง จากร่างกายประกอบด้วยโปรตีนประมาณ 20% ของทั้งร่างกาย และโปรตีนยังมีความสำคัญต่อการสร้างฮอร์โมน เอนไซม์ และแอนติบอดีของร่างกาย จากงานวิจัยพบว่า ผู้ที่ขาดโปรตีนในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาของอาการเพลียเรื้อรังจะมีอาการที่หนัก มากกว่าผู้ที่ได้รับโปรตีนเพียงพอ เช่นผู้ที่ขาดโปรตีนจะมีอาการปวดของกล้ามเนื้อคอและหลังมากกว่าผู้ที่ได้รับ โปรตีนเพียงพอ
- โกโก้และดาร์กช็อกโกแลตในปริมาณเล็กน้อยต่อวัน จากการศึกษาพบว่า สารโพลีฟีนอลที่มีอยู่ในโกโก้และดาร์กช็อกโกแลตจะทำให้ร่างกายผ่อนคลายและลด ความเครียด (แต่เนื่องจากโกโก้และดาร์กช็อกโกแลตมีคาเฟอีนอยู่ด้วยจึงไม่ควรรับประทานใน ปริมาณมาก)
- ดื่มน้ำให้ได้วันละ 8-10 แก้ว (เน้น ทีน้ำเปล่าหรือน้ำสมุนไพรที่ไม่มีการเติมน้ำตาล) การที่ร่างกายขาดน้ำจะทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย และปวดหัวได้ง่ายอยู่แล้ว ยิ่งในผู้ที่มีปัญหาอาการเพลียเรื้อรังหากขาดน้ำอาการจะแย่ลง
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
- อาหารที่ให้ไขมันสูง เช่น อาหารทอดน้ำมัน อาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่มีน้ำตาลสูง
- อาหารที่มีการส่วนผสมของผงชูรส
- อาหารหวานจัด อาหารเชื่อม
- อาหารรสเค็มจัด
- อาหารและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ เนื่องจากรบกวนการทำงานของระบบประสาททำให้ร่างกายตื่นตัวและอาจทำให้รู้สึก อ่อนเพลียมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้บางการศึกษาระบุว่าเครื่องดื่มกาเฟอีนมีผลต่อการนอนหลับพักผ่อนทำ ให้นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 22 กันยายน 2555 10:55 น. |
คุณเคยมีอาการเหล่านี้หรือไม่?
เหนื่อยเป็นประจำ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง มีความรู้สึกซึมเศร้า แม้ว่าจะนอนมาทั้งคืนแล้วก็ยังไม่หาย อาการเป็นๆ หายๆ แต่จะเป็นมากกว่าหาย จนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
อาการเหล่านี้อาจมาจากสาเหตุของอาการเพลียเรื้อรัง (Chronic fatigue syndrome : CFS) ที่เกิดจากความผิดปกติจากระบบกลไกของร่างกาย โดยปัจจุบันนี้ยังไม่สามารถหาระบุสาเหตุได้แน่ชัด เมื่อเป็นโรคนี้จะส่งผลให้เกิดความอ่อนล้า เหนื่อยง่าย จนกลายเป็นอาการเรื้อรัง อาการนี้สามารถเกิดได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ บางการศึกษาระบุสาเหตุว่าอาจเกิดจากการที่มีโรคเรื้อรังอื่นมาก่อนและทำให้ ร่างกายเกิดกลไกสร้างความเครียดให้กับร่างกาย หรือบางการศึกษาระบุว่าเป็นเรื่องของจิตใจที่ไม่สามารถควบคุมได้
อาการของโรคเพลียเรื้อรัง
- มีอาการอ่อนเพลียที่เป็นอย่างต่อเนื่องมากกว่า 3 เดือนสำหรับเด็กหรือวัยรุ่น และมากกว่า 4 เดือนขึ้นไปสำหรับวัยผู้ใหญ่
- นอนไม่หลับ หลับๆ ตื่นๆ ฝันร้าย หรือตื่นมาตอนดึกและไม่สามารถนอนต่อได้ เป็นประจำ
- ปวดกล้ามเนื้อ หรือเมื่อยล้าบริเวณกล้ามเนื้อโดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณคอและบ่า
- ปวดหัว
- ไม่มีสมาธิ
- ความจำแย่ลง
- อาหารไม่ย่อย มีลมในกระเพาะอาหารเป็นประจำ
- แพ้อาหารที่ไม่เคยแพ้มาก่อน เช่น ข้าว ขนมปัง ไข่ ถั่วเหลือง โดยอาการแพ้อาจแสดงออกเช่น คลื่นไส้ มีผื่นขึ้นตามตัว ท้องเสียเป็นต้น
- อยากกินของหวาน ขนมหวาน น้ำตาลอยู่เป็นประจำ
แม้ว่ายังไม่มีอาหารที่สามารถช่วยรักษาอาการเพลียเรื้อรังให้หายขาด ได้ แต่การรับประทานอาหารที่ถูกต้องสามารถช่วยลดอาการเพลียเรื้อรังได้ ช่วยให้มีความรู้สึกที่สดชื่นขึ้น และช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายทำให้ลดการเกิดโรคแทรกซ้อนอย่างอื่น ตามมา
อาหารที่ควรรับประทาน
- รับประทานอาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรตในทุกมื้ออาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง ข้าวโอ๊ต เผือก มัน ข้าวโพด มันฝรั่งทั้งเปลือก ขนมปังโฮลวีต ธัญพืชไม่ขัดสี เหตุผลที่เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เพราะจะมีค่าของดัชนีน้ำตาลต่ำทำให้ร่างกายค่อยๆ ได้รับน้ำตาล และช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล ทำให้ลดอาการต่างๆ ลงได้
- รับประทานผักผลไม้ทุกวันโดยพยายามให้ได้ผักทุกมื้ออาหาร มื้อ ละอย่างน้อย 1 ทัพพี และผลไม้ 3-5 ส่วน (1 ส่วนเช่น ส้มเขียวหวาน 1 ลูก ชมพู่ 2 ลูก แอปเปิ้ลเล็ก 1 ลูก ฝรั่ง ½ ผล มะละกอสุก 6 ชิ้น กล้วย 1 ลูก) ผักและผลไม้เป็นแหล่งของสารอาหารที่มีประโยชน์และมีสารพฤกษาเคมีที่ช่วยเร่ง ให้ร่างกายต่อสู้กับอาการเพลียเรื้อรังรวมทั้งอาการข้างเคียง
- รับประทานโปรตีนให้เพียงพอและเลือกโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เนื่อง จากร่างกายประกอบด้วยโปรตีนประมาณ 20% ของทั้งร่างกาย และโปรตีนยังมีความสำคัญต่อการสร้างฮอร์โมน เอนไซม์ และแอนติบอดีของร่างกาย จากงานวิจัยพบว่า ผู้ที่ขาดโปรตีนในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาของอาการเพลียเรื้อรังจะมีอาการที่หนัก มากกว่าผู้ที่ได้รับโปรตีนเพียงพอ เช่นผู้ที่ขาดโปรตีนจะมีอาการปวดของกล้ามเนื้อคอและหลังมากกว่าผู้ที่ได้รับ โปรตีนเพียงพอ
- โกโก้และดาร์กช็อกโกแลตในปริมาณเล็กน้อยต่อวัน จากการศึกษาพบว่า สารโพลีฟีนอลที่มีอยู่ในโกโก้และดาร์กช็อกโกแลตจะทำให้ร่างกายผ่อนคลายและลด ความเครียด (แต่เนื่องจากโกโก้และดาร์กช็อกโกแลตมีคาเฟอีนอยู่ด้วยจึงไม่ควรรับประทานใน ปริมาณมาก)
- ดื่มน้ำให้ได้วันละ 8-10 แก้ว (เน้น ทีน้ำเปล่าหรือน้ำสมุนไพรที่ไม่มีการเติมน้ำตาล) การที่ร่างกายขาดน้ำจะทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย และปวดหัวได้ง่ายอยู่แล้ว ยิ่งในผู้ที่มีปัญหาอาการเพลียเรื้อรังหากขาดน้ำอาการจะแย่ลง
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
- อาหารที่ให้ไขมันสูง เช่น อาหารทอดน้ำมัน อาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่มีน้ำตาลสูง
- อาหารที่มีการส่วนผสมของผงชูรส
- อาหารหวานจัด อาหารเชื่อม
- อาหารรสเค็มจัด
- อาหารและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ เนื่องจากรบกวนการทำงานของระบบประสาททำให้ร่างกายตื่นตัวและอาจทำให้รู้สึก อ่อนเพลียมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้บางการศึกษาระบุว่าเครื่องดื่มกาเฟอีนมีผลต่อการนอนหลับพักผ่อนทำ ให้นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท
วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555
นิทานสอนใจ : ผู้นำคนใหม่
ระวี และ วิกรม
อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันมาตั้งแต่เล็ก เมื่อทั้งสองอายุได้ 5 ปี
ผู้นำหมู่บ้านก็นำเงินที่รวบรวมได้จากชาวบ้าน มอบให้แก่เด็กหนุ่มทั้งสอง
เพื่อเป็นทุนในการเดินทางไปศึกษาวิชาต่างๆ ต่อยังเมืองหลวง
“ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าทั้งสองเหมาะที่จะได้รับทุนนี้มากที่สุด จงไปค้นหาสำนักอาจารย์ชั้นยอดในเมืองหลวง แล้วศึกษาวิชาความรู้เหล่านั้นอย่างพากเพียร กระทั่งในปีที่พวกเจ้ามีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์ ขอให้เดินทางกลับมายังหมู่บ้านของเรา เพื่อให้ชาวบ้านเลือกว่า ใครสมควรที่จะได้รับตำแหน่งผู้นำหมู่บ้าน เพื่อดูแลพวกเขาต่อจากข้า”
ระวี และ วิกรม ดีใจอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกให้ไปศึกษาต่อ เขาสัญญาแก่ผู้นำหมู่บ้านและชาวบ้านทุกคน ว่า จะเข้าเรียนในสำนักอาจารย์ที่ดีที่สุด เพื่อนำความรู้นั้นมาพัฒนาหมู่บ้านให้มีความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป
เมื่อไปถึงเมืองหลวง ระวี และ วิกรม ได้เลือกเรียนในสำนักของอาจารย์ที่แตกต่างกัน ระวี เห็นว่า หมู่บ้านคงไม่มีความสุขหากผู้นำไร้คุณธรรมในการปกครอง ดังนั้น ระวี จึงเลือกเข้าศึกษาในสำนักของอาจารย์ที่เน้นการสอนเรื่องคุณธรรมและปรัชญา แห่งความเป็นมนุษย์มากกว่าความเก่งกาจทางด้านวิชาการ ส่วน วิกรม นั้น มีความคิดเห็นต่างไปจากระวีโดยสิ้นเชิง วิกรมคิดว่า ตัวเขาต้องมุ่งศึกษาศาสตร์ความรู้ต่างๆ ให้มาก จะได้รู้มากกว่า เก่งกว่า และอยู่เหนือกว่าผู้อื่น ซึ่งน่าจะเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้นำ ดังนั้น วิกรม จึงเข้าศึกษาในสำนักของอาจารย์ที่เน้นการศึกษาศาสตร์ต่างๆ ที่มีความหลากหลายนับร้อยนับพันสาขา ยกเว้นด้านคุณธรรมที่เห็นจะไม่มีความสำคัญเลยในสำนักแห่งนี้
ระวี และ วิกรม ขยันศึกษาในสำนักของตนอย่างพากเพียร ต่างพักอยู่ในสำนักของอาจารย์ที่ตนศึกษา และแทบจะไม่ได้เจอหน้ากัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง วิกรม เข้าไปเก็บตัวอย่างพืชพรรณไม้ป่าตามคำสั่งของอาจารย์ เพื่อนำกลับไปศึกษาในสำนัก ระหว่างที่กำลังเก็บดอกไม้ดอกหนึ่งอยู่ ด้วยความรีบร้อนไม่ทันระวังตัว หนามอันแหลมคมของมันก็ขูดเข้ากับท้องแขนของเขาเป็นทางยาว และมีเลือดไหลซิบๆ ออกมา วิกรม โกรธต้นไม้ต้นนี้มาก จนรู้สึกเดือดพล่าน เขากล่าวสาปแช่งต่างๆ นานาแก่ต้นไม้เป็นการใหญ่
ตอนนั้นเองที่ระวีเดินผ่านมาเห็นพอดี เขารีบเข้าไปห้ามเพื่อน และเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ระวีก็พูดว่า
“อย่าทำเช่นนั้นเลยเพื่อนเอ๋ย ต้นไม้มิได้ผิดอะไร เขาอยู่ของเขาดีๆ เพื่อนต่างหากที่ไปรุกรานทำร้ายเขา จงกล่าวขอโทษ และแผ่เมตตาให้แก่ต้นไม้เถิด”
วิกรม ได้ฟังดังนั้นก็พาลโกรธระวีไปอีกคน เขาว่ากล่าวระวีในเรื่องที่เลือกสำนักอาจารย์ในการศึกษาไม่เป็น ทำให้เงินจากน้ำพักน้ำแรงของชาวบ้านที่สู้อุตส่าห์แบ่งปันมาให้ต้องสูญเปล่า
“ไม่เป็นเช่นนั้นหรอกเพื่อน เพราะตัวข้านั้นหมั่นศึกษาคุณธรรมอยู่เป็นนิจ ข้าสำนึกในคุณค่าและบุญคุณของชาวบ้านเสมอ” ระวี แก้ความเข้าใจผิดของเพื่อน
“มีคุณธรรมแต่ขาดความรู้จะทำอะไรได้ หากเจ้าไปบอกใครๆ ว่า ตัวเจ้ามีคุณธรรม เขาจะชื่นชมเจ้าเท่ากับที่เจ้าแสดงภูมิความรู้ให้เป็นที่ปรากฏหรือ...ดู อย่างข้านี่สิ ข้ารู้จักพืชพรรณในป่านี้ทุกชนิด เพราะข้าขยันท่องชื่อของพวกมันทั้งวันทั้งคืน จนแม้แต่อาจารย์ก็ยังชื่นชมไม่ขาดปากว่าข้านั้นมีความจำเป็นเลิศส่วนเจ้า เล่า...รู้อะไรอย่างที่ข้ารู้บ้าง” วิกรม กล่าวโอ้อวด
“ถูกแล้วเพื่อนเอ๋ย ข้านั้นไม่รู้อะไรมากเท่าที่เจ้ารู้หรอก ข้าไม่รู้ว่าพืชพรรณเหล่านี้ มีชื่อเรียกว่าอะไรบ้าง แต่ข้ารู้ว่าพวกเขาในที่นี้ทุกต้นล้วนมีชีวิตมีความรู้สึก เพราะฉะนั้น เราไม่ควรกล่าวคำชั่วร้ายแก่ต้นไม้ เพราะจะทำให้ต้นไม้เศร้าใจมาก” ระวี กล่าว
“ไร้สาระ! สิ่งที่เจ้าพูดล้วนจับต้องไม่ได้ และข้าก็ไม่เชื่อเจ้าด้วย” วิกรม พูดกระแทกเสียงดัง แล้วเดินจากไปอย่างขัดเคืองใจ
ส่วน ระวี นั้น เห็นใจต้นไม้ เขาจึงนั่งแผ่เมตตาให้แก่ต้นไม้เป็นเวลานาน
เวลาผ่านไปจนกระทั่ง ระวี และ วิกรม มีอายุย่างเข้าสู่ปีที่ 25 ทั้งสองจึงกล่าวลาอาจารย์ของตน แล้วเดินทางกลับหมู่บ้าน ซึ่งมีชาวบ้านมารอให้การต้อนรับอยู่แล้ว
วิกรม นั้น เมื่อมาถึงหมู่บ้านก็พูดจาโอ้อวดแสดงภูมิความรู้ต่างๆ ของตนแก่ชาวบ้านทันที ผิดกับ ระวี ที่พูดน้อย และกล่าวแต่คำไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบของชาวบ้านอย่างมีอัธยาศัยไมตรี
ผู้นำหมู่บ้าน กล่าวว่า “ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ข้าจะจัดให้มีการเลือกผู้นำหมู่บ้านคนใหม่ ดังนั้นช่วงนี้ขอให้พวกเจ้าตัดสินใจให้ดีว่า ระหว่าง ระวี กับ วิกรม พวกเจ้าอยากให้ใครขึ้นมาเป็นผู้นำหมู่บ้านเราต่อจากข้า”
แรกๆ นั้น พวกชาวบ้านออกจะมีใจนิยมชมชอบในตัวของวิกรม มากกว่า ระวี เนื่องจากดูทรงภูมิ และมีความรู้ต่างๆ มาก เวลาวิกรมพูดอะไรแต่ละครั้งเขาจะใช้คำพูดยากๆ ที่ชาวบ้านฟังแล้วไม่เข้าใจ เพราะรู้สึกว่าพูดไปแล้วจะทำให้ตนเองดูมีความรู้และฉลาดกว่าผู้อื่น เมื่อมีชาวบ้านคนใดเอ่ยถามเพื่อความเข้าใจ วิกรม ก็หัวเราะก่อนจะอธิบายอย่างอวดภูมิ และตบท้ายด้วยคำพูดแบบยกตนข่มท่าน เสมือนว่า คนที่มาถามนั้นเป็นคนโง่ เพราะแม้แต่เรื่องง่ายๆ แค่นี้ก็ไม่รู้ ดังนั้น ในระยะหลังๆ จึงไม่มีใครกล้าถาม หรือพูดอะไรกับวิกรมอีก เพราะกลัวจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนโง่
ฝ่ายระวีนั้น ไม่ เคยแสดงภูมิใดๆ ให้เป็นที่ประจักษ์ จนแรกๆ ชาวบ้านต่างพากันคิดว่า ระวีนั้นไร้ความโดดเด่นจนไม่มีอะไรให้พูดถึงตัวเอง แต่เมื่อได้ลองพูดคุยทักทายกันบ้างตามประสาชาวบ้าน ก็พบว่าพวกเขาสามารถเข้าใจสิ่งที่ระวีพูดได้ง่ายกว่าคำพูดของวิกรม เพราะระวีสนทนากับชาวบ้านด้วยภาษาที่เรียบง่าย ทำให้สื่อสารเข้าใจได้ตรงกัน และนอกไปจากนั้นพวกเขาก็ค่อยๆ รู้สึกว่า ถ้อยคำสั้นๆ ง่ายๆ ที่ระวีพูดนั้น แท้จริงแล้วกลับแฝงไว้ด้วยความเฉียบแหลมอยู่ในที ชาวบ้านจึงเริ่มมองระวีในแง่ใหม่ และเข้ามาพูดคุยกับเขามากขึ้น
3 เดือนผ่านไป ถึงเวลาที่ชาวบ้านต้องเลือกผู้นำคนใหม่ ผู้นำหมู่บ้านคนปัจจุบันจึงมอบก้อนหินสีขาวให้ชาวบ้านคนละ 1 ก้อน แล้วให้เข้าไปหยอดในกล่องที่อยู่หลังฉากกั้นทีละคนๆ โดยให้เลือกหยอดลงในกล่องใบใดใบหนึ่ง ระหว่างกล่องของวิกรมกับกล่องของระวี
วิกรม มองชาวบ้านเดินเข้าหลังฉากกั้นไปลงคะแนนด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง เขาแน่ใจว่า ด้วยความฉลาดทั้งหมดที่ได้แสดงออกสู่สายตาชาวบ้าน จะทำให้ตนเองได้รับเลือกเป็นผู้นำหมู่บ้านอย่างไม่ต้องสงสัย ในขณะที่ระวีไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมา และยืนรอผลการเลือกตั้งด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“ผลออกมาแล้ว” ผู้นำหมู่บ้านประกาศหลังนับคะแนนเสร็จ “ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำหมู่บ้านต่อจากข้าคือ...ระวี”
สิ้นคำประกาศของผู้นำหมู่บ้านคนปัจจุบัน เสียงไชโยโห่ร้องจากชาวบ้านก็ดังกระหึ่มขึ้นด้วยความยินดีทันที ส่วนวิกรมนั้นยืนงงเป็นไก่ตาแตก และคิดว่าตนเองน่าจะฟังผิดไป
“เดี๋ยวก่อนสิ ท่านผู้นำหมู่บ้าน! ท่านประกาศผลผิดไปนะ” วิกรม รีบทักท้วง
“ไม่ผิดหรอก กล่องของระวีอัดแน่นไปด้วยก้อนหินสีขาว ส่วนของเจ้าไม่มีก้อนหินเลยสักก้อนเดียว” ผู้นำหมู่บ้านบอก
“ว่าอย่างไรนะ! เป็นไปไม่ได้หรอก ข้าเป็นผู้มีความรู้มากนะทุกคนต้องเลือกข้าเป็นผู้นำสิ” วิกรม พูดอย่างเดือดดาล ด้วยความรู้สึกเสียหน้าและผิดหวังอย่างรุนแรง
“ผิดแล้ววิกรม” ผู้นำหมู่บ้านกล่าวอย่างนุ่มนวล “ตาม วิสัยของผู้ที่จะมาเป็นผู้นำคนหมู่มากนั้น เขาจะต้องแสดงคุณค่าความเป็นมนุษย์ให้เป็นที่ประจักษ์ด้วย คุณค่าความเป็นมนุษย์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ การพูด คนที่มีคุณค่าต้องพูดแต่สิ่งดีๆ และมองผู้อื่นในแง่ดีอยู่เสมอ เพราะคำพูดนั้นสำคัญมาก เมื่อพูดออกไปแล้ว ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็เรียกคืนมาอีกไม่ได้ หากพูดไม่ดีคำพูดนั้นก็จะไปประทับอยู่ในจิตใจและสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้ อื่นไปนานแสนนาน ดังนั้น ผู้นำจะต้องเป็นคนที่พูดเป็น คิดถึงความรู้สึกของผู้อื่น อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่อวดดี และเต็มไปด้วยความรักความเมตตาในจิตใจ จึงจะทำให้ผู้ที่อยู่ใต้ปกครองเกิดความสุขได้อย่างแท้จริง”
วิกรมได้ฟังหัวหน้าหมู่ บ้านกล่าวดังนั้น ก็เริ่มคิดได้ และเมื่อได้มองย้อนกลับไปถึงการกระทำต่างๆ ที่ผ่านมาของตนเอง เขาก็รู้สึกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ตนเองได้สร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้อื่นเสมอมา ผิดกับผู้นำหมู่บ้าน ระวีต่างหากที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ทุกประการ
ดังนั้น วิกรม จึงหันไปแสดงความยินดีกับระวีด้วยใจจริง และมุ่งมั่นว่า จะกลับตัวกลับใจเป็นคนดีมีคุณค่า และช่วยเหลือระวีในการพัฒนาหมู่บ้านด้วยความจริงใจตลอดไป
บทสรุปของผู้แต่ง
การเป็นผู้มีความรู้มากนั้นมิใช่สิ่งที่ไม่ดีหรอก ตรงกันข้าม การเป็นผู้นำที่ดี ควรที่จะหมั่นศึกษาความรู้ต่างๆ มาประดับตนเองไว้เสมอ แต่อย่ารู้วิชาจนลืมไปว่าคุณค่าแห่งความดีนั้นเป็นอย่างไร เพราะนั่นไม่มีประโยชน์ และเสียเวลาขวนขวายหาความรู้ไปเปล่าๆ นอกจากนี้ ควรมีความรู้ควบคู่กับคุณธรรมและความดี ความรู้จึงจะบังเกิดผลสูงสุดทั้งแก่ผู้อื่นและตัวเธอเอง ซึ่งนั้นจะทำให้รู้ซึ้งถึงคุณค่าในตัวเองมากขึ้น และกลายเป็นที่ต้อนรับของผู้คนในทุกแห่งที่ย่างก้าวไปถึง
“ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าทั้งสองเหมาะที่จะได้รับทุนนี้มากที่สุด จงไปค้นหาสำนักอาจารย์ชั้นยอดในเมืองหลวง แล้วศึกษาวิชาความรู้เหล่านั้นอย่างพากเพียร กระทั่งในปีที่พวกเจ้ามีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์ ขอให้เดินทางกลับมายังหมู่บ้านของเรา เพื่อให้ชาวบ้านเลือกว่า ใครสมควรที่จะได้รับตำแหน่งผู้นำหมู่บ้าน เพื่อดูแลพวกเขาต่อจากข้า”
ระวี และ วิกรม ดีใจอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกให้ไปศึกษาต่อ เขาสัญญาแก่ผู้นำหมู่บ้านและชาวบ้านทุกคน ว่า จะเข้าเรียนในสำนักอาจารย์ที่ดีที่สุด เพื่อนำความรู้นั้นมาพัฒนาหมู่บ้านให้มีความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป
เมื่อไปถึงเมืองหลวง ระวี และ วิกรม ได้เลือกเรียนในสำนักของอาจารย์ที่แตกต่างกัน ระวี เห็นว่า หมู่บ้านคงไม่มีความสุขหากผู้นำไร้คุณธรรมในการปกครอง ดังนั้น ระวี จึงเลือกเข้าศึกษาในสำนักของอาจารย์ที่เน้นการสอนเรื่องคุณธรรมและปรัชญา แห่งความเป็นมนุษย์มากกว่าความเก่งกาจทางด้านวิชาการ ส่วน วิกรม นั้น มีความคิดเห็นต่างไปจากระวีโดยสิ้นเชิง วิกรมคิดว่า ตัวเขาต้องมุ่งศึกษาศาสตร์ความรู้ต่างๆ ให้มาก จะได้รู้มากกว่า เก่งกว่า และอยู่เหนือกว่าผู้อื่น ซึ่งน่าจะเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้นำ ดังนั้น วิกรม จึงเข้าศึกษาในสำนักของอาจารย์ที่เน้นการศึกษาศาสตร์ต่างๆ ที่มีความหลากหลายนับร้อยนับพันสาขา ยกเว้นด้านคุณธรรมที่เห็นจะไม่มีความสำคัญเลยในสำนักแห่งนี้
ระวี และ วิกรม ขยันศึกษาในสำนักของตนอย่างพากเพียร ต่างพักอยู่ในสำนักของอาจารย์ที่ตนศึกษา และแทบจะไม่ได้เจอหน้ากัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง วิกรม เข้าไปเก็บตัวอย่างพืชพรรณไม้ป่าตามคำสั่งของอาจารย์ เพื่อนำกลับไปศึกษาในสำนัก ระหว่างที่กำลังเก็บดอกไม้ดอกหนึ่งอยู่ ด้วยความรีบร้อนไม่ทันระวังตัว หนามอันแหลมคมของมันก็ขูดเข้ากับท้องแขนของเขาเป็นทางยาว และมีเลือดไหลซิบๆ ออกมา วิกรม โกรธต้นไม้ต้นนี้มาก จนรู้สึกเดือดพล่าน เขากล่าวสาปแช่งต่างๆ นานาแก่ต้นไม้เป็นการใหญ่
ตอนนั้นเองที่ระวีเดินผ่านมาเห็นพอดี เขารีบเข้าไปห้ามเพื่อน และเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ระวีก็พูดว่า
“อย่าทำเช่นนั้นเลยเพื่อนเอ๋ย ต้นไม้มิได้ผิดอะไร เขาอยู่ของเขาดีๆ เพื่อนต่างหากที่ไปรุกรานทำร้ายเขา จงกล่าวขอโทษ และแผ่เมตตาให้แก่ต้นไม้เถิด”
วิกรม ได้ฟังดังนั้นก็พาลโกรธระวีไปอีกคน เขาว่ากล่าวระวีในเรื่องที่เลือกสำนักอาจารย์ในการศึกษาไม่เป็น ทำให้เงินจากน้ำพักน้ำแรงของชาวบ้านที่สู้อุตส่าห์แบ่งปันมาให้ต้องสูญเปล่า
“ไม่เป็นเช่นนั้นหรอกเพื่อน เพราะตัวข้านั้นหมั่นศึกษาคุณธรรมอยู่เป็นนิจ ข้าสำนึกในคุณค่าและบุญคุณของชาวบ้านเสมอ” ระวี แก้ความเข้าใจผิดของเพื่อน
“มีคุณธรรมแต่ขาดความรู้จะทำอะไรได้ หากเจ้าไปบอกใครๆ ว่า ตัวเจ้ามีคุณธรรม เขาจะชื่นชมเจ้าเท่ากับที่เจ้าแสดงภูมิความรู้ให้เป็นที่ปรากฏหรือ...ดู อย่างข้านี่สิ ข้ารู้จักพืชพรรณในป่านี้ทุกชนิด เพราะข้าขยันท่องชื่อของพวกมันทั้งวันทั้งคืน จนแม้แต่อาจารย์ก็ยังชื่นชมไม่ขาดปากว่าข้านั้นมีความจำเป็นเลิศส่วนเจ้า เล่า...รู้อะไรอย่างที่ข้ารู้บ้าง” วิกรม กล่าวโอ้อวด
“ถูกแล้วเพื่อนเอ๋ย ข้านั้นไม่รู้อะไรมากเท่าที่เจ้ารู้หรอก ข้าไม่รู้ว่าพืชพรรณเหล่านี้ มีชื่อเรียกว่าอะไรบ้าง แต่ข้ารู้ว่าพวกเขาในที่นี้ทุกต้นล้วนมีชีวิตมีความรู้สึก เพราะฉะนั้น เราไม่ควรกล่าวคำชั่วร้ายแก่ต้นไม้ เพราะจะทำให้ต้นไม้เศร้าใจมาก” ระวี กล่าว
“ไร้สาระ! สิ่งที่เจ้าพูดล้วนจับต้องไม่ได้ และข้าก็ไม่เชื่อเจ้าด้วย” วิกรม พูดกระแทกเสียงดัง แล้วเดินจากไปอย่างขัดเคืองใจ
ส่วน ระวี นั้น เห็นใจต้นไม้ เขาจึงนั่งแผ่เมตตาให้แก่ต้นไม้เป็นเวลานาน
เวลาผ่านไปจนกระทั่ง ระวี และ วิกรม มีอายุย่างเข้าสู่ปีที่ 25 ทั้งสองจึงกล่าวลาอาจารย์ของตน แล้วเดินทางกลับหมู่บ้าน ซึ่งมีชาวบ้านมารอให้การต้อนรับอยู่แล้ว
วิกรม นั้น เมื่อมาถึงหมู่บ้านก็พูดจาโอ้อวดแสดงภูมิความรู้ต่างๆ ของตนแก่ชาวบ้านทันที ผิดกับ ระวี ที่พูดน้อย และกล่าวแต่คำไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบของชาวบ้านอย่างมีอัธยาศัยไมตรี
ผู้นำหมู่บ้าน กล่าวว่า “ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ข้าจะจัดให้มีการเลือกผู้นำหมู่บ้านคนใหม่ ดังนั้นช่วงนี้ขอให้พวกเจ้าตัดสินใจให้ดีว่า ระหว่าง ระวี กับ วิกรม พวกเจ้าอยากให้ใครขึ้นมาเป็นผู้นำหมู่บ้านเราต่อจากข้า”
แรกๆ นั้น พวกชาวบ้านออกจะมีใจนิยมชมชอบในตัวของวิกรม มากกว่า ระวี เนื่องจากดูทรงภูมิ และมีความรู้ต่างๆ มาก เวลาวิกรมพูดอะไรแต่ละครั้งเขาจะใช้คำพูดยากๆ ที่ชาวบ้านฟังแล้วไม่เข้าใจ เพราะรู้สึกว่าพูดไปแล้วจะทำให้ตนเองดูมีความรู้และฉลาดกว่าผู้อื่น เมื่อมีชาวบ้านคนใดเอ่ยถามเพื่อความเข้าใจ วิกรม ก็หัวเราะก่อนจะอธิบายอย่างอวดภูมิ และตบท้ายด้วยคำพูดแบบยกตนข่มท่าน เสมือนว่า คนที่มาถามนั้นเป็นคนโง่ เพราะแม้แต่เรื่องง่ายๆ แค่นี้ก็ไม่รู้ ดังนั้น ในระยะหลังๆ จึงไม่มีใครกล้าถาม หรือพูดอะไรกับวิกรมอีก เพราะกลัวจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนโง่
ฝ่ายระวีนั้น ไม่ เคยแสดงภูมิใดๆ ให้เป็นที่ประจักษ์ จนแรกๆ ชาวบ้านต่างพากันคิดว่า ระวีนั้นไร้ความโดดเด่นจนไม่มีอะไรให้พูดถึงตัวเอง แต่เมื่อได้ลองพูดคุยทักทายกันบ้างตามประสาชาวบ้าน ก็พบว่าพวกเขาสามารถเข้าใจสิ่งที่ระวีพูดได้ง่ายกว่าคำพูดของวิกรม เพราะระวีสนทนากับชาวบ้านด้วยภาษาที่เรียบง่าย ทำให้สื่อสารเข้าใจได้ตรงกัน และนอกไปจากนั้นพวกเขาก็ค่อยๆ รู้สึกว่า ถ้อยคำสั้นๆ ง่ายๆ ที่ระวีพูดนั้น แท้จริงแล้วกลับแฝงไว้ด้วยความเฉียบแหลมอยู่ในที ชาวบ้านจึงเริ่มมองระวีในแง่ใหม่ และเข้ามาพูดคุยกับเขามากขึ้น
3 เดือนผ่านไป ถึงเวลาที่ชาวบ้านต้องเลือกผู้นำคนใหม่ ผู้นำหมู่บ้านคนปัจจุบันจึงมอบก้อนหินสีขาวให้ชาวบ้านคนละ 1 ก้อน แล้วให้เข้าไปหยอดในกล่องที่อยู่หลังฉากกั้นทีละคนๆ โดยให้เลือกหยอดลงในกล่องใบใดใบหนึ่ง ระหว่างกล่องของวิกรมกับกล่องของระวี
วิกรม มองชาวบ้านเดินเข้าหลังฉากกั้นไปลงคะแนนด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง เขาแน่ใจว่า ด้วยความฉลาดทั้งหมดที่ได้แสดงออกสู่สายตาชาวบ้าน จะทำให้ตนเองได้รับเลือกเป็นผู้นำหมู่บ้านอย่างไม่ต้องสงสัย ในขณะที่ระวีไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมา และยืนรอผลการเลือกตั้งด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“ผลออกมาแล้ว” ผู้นำหมู่บ้านประกาศหลังนับคะแนนเสร็จ “ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำหมู่บ้านต่อจากข้าคือ...ระวี”
สิ้นคำประกาศของผู้นำหมู่บ้านคนปัจจุบัน เสียงไชโยโห่ร้องจากชาวบ้านก็ดังกระหึ่มขึ้นด้วยความยินดีทันที ส่วนวิกรมนั้นยืนงงเป็นไก่ตาแตก และคิดว่าตนเองน่าจะฟังผิดไป
“เดี๋ยวก่อนสิ ท่านผู้นำหมู่บ้าน! ท่านประกาศผลผิดไปนะ” วิกรม รีบทักท้วง
“ไม่ผิดหรอก กล่องของระวีอัดแน่นไปด้วยก้อนหินสีขาว ส่วนของเจ้าไม่มีก้อนหินเลยสักก้อนเดียว” ผู้นำหมู่บ้านบอก
“ว่าอย่างไรนะ! เป็นไปไม่ได้หรอก ข้าเป็นผู้มีความรู้มากนะทุกคนต้องเลือกข้าเป็นผู้นำสิ” วิกรม พูดอย่างเดือดดาล ด้วยความรู้สึกเสียหน้าและผิดหวังอย่างรุนแรง
“ผิดแล้ววิกรม” ผู้นำหมู่บ้านกล่าวอย่างนุ่มนวล “ตาม วิสัยของผู้ที่จะมาเป็นผู้นำคนหมู่มากนั้น เขาจะต้องแสดงคุณค่าความเป็นมนุษย์ให้เป็นที่ประจักษ์ด้วย คุณค่าความเป็นมนุษย์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ การพูด คนที่มีคุณค่าต้องพูดแต่สิ่งดีๆ และมองผู้อื่นในแง่ดีอยู่เสมอ เพราะคำพูดนั้นสำคัญมาก เมื่อพูดออกไปแล้ว ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็เรียกคืนมาอีกไม่ได้ หากพูดไม่ดีคำพูดนั้นก็จะไปประทับอยู่ในจิตใจและสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้ อื่นไปนานแสนนาน ดังนั้น ผู้นำจะต้องเป็นคนที่พูดเป็น คิดถึงความรู้สึกของผู้อื่น อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่อวดดี และเต็มไปด้วยความรักความเมตตาในจิตใจ จึงจะทำให้ผู้ที่อยู่ใต้ปกครองเกิดความสุขได้อย่างแท้จริง”
วิกรมได้ฟังหัวหน้าหมู่ บ้านกล่าวดังนั้น ก็เริ่มคิดได้ และเมื่อได้มองย้อนกลับไปถึงการกระทำต่างๆ ที่ผ่านมาของตนเอง เขาก็รู้สึกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ตนเองได้สร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้อื่นเสมอมา ผิดกับผู้นำหมู่บ้าน ระวีต่างหากที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ทุกประการ
ดังนั้น วิกรม จึงหันไปแสดงความยินดีกับระวีด้วยใจจริง และมุ่งมั่นว่า จะกลับตัวกลับใจเป็นคนดีมีคุณค่า และช่วยเหลือระวีในการพัฒนาหมู่บ้านด้วยความจริงใจตลอดไป
บทสรุปของผู้แต่ง
การเป็นผู้มีความรู้มากนั้นมิใช่สิ่งที่ไม่ดีหรอก ตรงกันข้าม การเป็นผู้นำที่ดี ควรที่จะหมั่นศึกษาความรู้ต่างๆ มาประดับตนเองไว้เสมอ แต่อย่ารู้วิชาจนลืมไปว่าคุณค่าแห่งความดีนั้นเป็นอย่างไร เพราะนั่นไม่มีประโยชน์ และเสียเวลาขวนขวายหาความรู้ไปเปล่าๆ นอกจากนี้ ควรมีความรู้ควบคู่กับคุณธรรมและความดี ความรู้จึงจะบังเกิดผลสูงสุดทั้งแก่ผู้อื่นและตัวเธอเอง ซึ่งนั้นจะทำให้รู้ซึ้งถึงคุณค่าในตัวเองมากขึ้น และกลายเป็นที่ต้อนรับของผู้คนในทุกแห่งที่ย่างก้าวไปถึง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)