วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

อาการเพลียเรื้อรัง

อาหารกับอาการเพลียเรื้อรัง/ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 กันยายน 2555 10:55 น.
 
คุณเคยมีอาการเหล่านี้หรือไม่?
     
       เหนื่อยเป็นประจำ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง มีความรู้สึกซึมเศร้า แม้ว่าจะนอนมาทั้งคืนแล้วก็ยังไม่หาย อาการเป็นๆ หายๆ แต่จะเป็นมากกว่าหาย จนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

อาการเหล่านี้อาจมาจากสาเหตุของอาการเพลียเรื้อรัง (Chronic fatigue syndrome : CFS) ที่เกิดจากความผิดปกติจากระบบกลไกของร่างกาย โดยปัจจุบันนี้ยังไม่สามารถหาระบุสาเหตุได้แน่ชัด เมื่อเป็นโรคนี้จะส่งผลให้เกิดความอ่อนล้า เหนื่อยง่าย จนกลายเป็นอาการเรื้อรัง อาการนี้สามารถเกิดได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ บางการศึกษาระบุสาเหตุว่าอาจเกิดจากการที่มีโรคเรื้อรังอื่นมาก่อนและทำให้ ร่างกายเกิดกลไกสร้างความเครียดให้กับร่างกาย หรือบางการศึกษาระบุว่าเป็นเรื่องของจิตใจที่ไม่สามารถควบคุมได้
     
       อาการของโรคเพลียเรื้อรัง
     
       - มีอาการอ่อนเพลียที่เป็นอย่างต่อเนื่องมากกว่า 3 เดือนสำหรับเด็กหรือวัยรุ่น และมากกว่า 4 เดือนขึ้นไปสำหรับวัยผู้ใหญ่
       - นอนไม่หลับ หลับๆ ตื่นๆ ฝันร้าย หรือตื่นมาตอนดึกและไม่สามารถนอนต่อได้ เป็นประจำ
       - ปวดกล้ามเนื้อ หรือเมื่อยล้าบริเวณกล้ามเนื้อโดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณคอและบ่า
       - ปวดหัว
       - ไม่มีสมาธิ
       - ความจำแย่ลง
       - อาหารไม่ย่อย มีลมในกระเพาะอาหารเป็นประจำ
       - แพ้อาหารที่ไม่เคยแพ้มาก่อน เช่น ข้าว ขนมปัง ไข่ ถั่วเหลือง โดยอาการแพ้อาจแสดงออกเช่น คลื่นไส้ มีผื่นขึ้นตามตัว ท้องเสียเป็นต้น
       - อยากกินของหวาน ขนมหวาน น้ำตาลอยู่เป็นประจำ
     
       แม้ว่ายังไม่มีอาหารที่สามารถช่วยรักษาอาการเพลียเรื้อรังให้หายขาด ได้ แต่การรับประทานอาหารที่ถูกต้องสามารถช่วยลดอาการเพลียเรื้อรังได้ ช่วยให้มีความรู้สึกที่สดชื่นขึ้น และช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายทำให้ลดการเกิดโรคแทรกซ้อนอย่างอื่น ตามมา
     
       อาหารที่ควรรับประทาน
     
       - รับประทานอาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรตในทุกมื้ออาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง ข้าวโอ๊ต เผือก มัน ข้าวโพด มันฝรั่งทั้งเปลือก ขนมปังโฮลวีต ธัญพืชไม่ขัดสี เหตุผลที่เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เพราะจะมีค่าของดัชนีน้ำตาลต่ำทำให้ร่างกายค่อยๆ ได้รับน้ำตาล และช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล ทำให้ลดอาการต่างๆ ลงได้
     
       - รับประทานผักผลไม้ทุกวันโดยพยายามให้ได้ผักทุกมื้ออาหาร มื้อ ละอย่างน้อย 1 ทัพพี และผลไม้ 3-5 ส่วน (1 ส่วนเช่น ส้มเขียวหวาน 1 ลูก ชมพู่ 2 ลูก แอปเปิ้ลเล็ก 1 ลูก ฝรั่ง ½ ผล มะละกอสุก 6 ชิ้น กล้วย 1 ลูก) ผักและผลไม้เป็นแหล่งของสารอาหารที่มีประโยชน์และมีสารพฤกษาเคมีที่ช่วยเร่ง ให้ร่างกายต่อสู้กับอาการเพลียเรื้อรังรวมทั้งอาการข้างเคียง
     
       - รับประทานโปรตีนให้เพียงพอและเลือกโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เนื่อง จากร่างกายประกอบด้วยโปรตีนประมาณ 20% ของทั้งร่างกาย และโปรตีนยังมีความสำคัญต่อการสร้างฮอร์โมน เอนไซม์ และแอนติบอดีของร่างกาย จากงานวิจัยพบว่า ผู้ที่ขาดโปรตีนในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาของอาการเพลียเรื้อรังจะมีอาการที่หนัก มากกว่าผู้ที่ได้รับโปรตีนเพียงพอ เช่นผู้ที่ขาดโปรตีนจะมีอาการปวดของกล้ามเนื้อคอและหลังมากกว่าผู้ที่ได้รับ โปรตีนเพียงพอ
     
       - โกโก้และดาร์กช็อกโกแลตในปริมาณเล็กน้อยต่อวัน จากการศึกษาพบว่า สารโพลีฟีนอลที่มีอยู่ในโกโก้และดาร์กช็อกโกแลตจะทำให้ร่างกายผ่อนคลายและลด ความเครียด (แต่เนื่องจากโกโก้และดาร์กช็อกโกแลตมีคาเฟอีนอยู่ด้วยจึงไม่ควรรับประทานใน ปริมาณมาก)
     
       - ดื่มน้ำให้ได้วันละ 8-10 แก้ว (เน้น ทีน้ำเปล่าหรือน้ำสมุนไพรที่ไม่มีการเติมน้ำตาล) การที่ร่างกายขาดน้ำจะทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย และปวดหัวได้ง่ายอยู่แล้ว ยิ่งในผู้ที่มีปัญหาอาการเพลียเรื้อรังหากขาดน้ำอาการจะแย่ลง
     
       อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
       

       - อาหารที่ให้ไขมันสูง เช่น อาหารทอดน้ำมัน อาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่มีน้ำตาลสูง
       - อาหารที่มีการส่วนผสมของผงชูรส
       - อาหารหวานจัด อาหารเชื่อม
       - อาหารรสเค็มจัด
       - อาหารและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ เนื่องจากรบกวนการทำงานของระบบประสาททำให้ร่างกายตื่นตัวและอาจทำให้รู้สึก อ่อนเพลียมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้บางการศึกษาระบุว่าเครื่องดื่มกาเฟอีนมีผลต่อการนอนหลับพักผ่อนทำ ให้นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท
 

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555

นิทานสอนใจ : ผู้นำคนใหม่

ระวี และ วิกรม อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันมาตั้งแต่เล็ก เมื่อทั้งสองอายุได้ 5 ปี ผู้นำหมู่บ้านก็นำเงินที่รวบรวมได้จากชาวบ้าน มอบให้แก่เด็กหนุ่มทั้งสอง เพื่อเป็นทุนในการเดินทางไปศึกษาวิชาต่างๆ ต่อยังเมืองหลวง
    
       “ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าทั้งสองเหมาะที่จะได้รับทุนนี้มากที่สุด จงไปค้นหาสำนักอาจารย์ชั้นยอดในเมืองหลวง แล้วศึกษาวิชาความรู้เหล่านั้นอย่างพากเพียร กระทั่งในปีที่พวกเจ้ามีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์ ขอให้เดินทางกลับมายังหมู่บ้านของเรา เพื่อให้ชาวบ้านเลือกว่า ใครสมควรที่จะได้รับตำแหน่งผู้นำหมู่บ้าน เพื่อดูแลพวกเขาต่อจากข้า”
    
       ระวี และ วิกรม ดีใจอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกให้ไปศึกษาต่อ เขาสัญญาแก่ผู้นำหมู่บ้านและชาวบ้านทุกคน ว่า จะเข้าเรียนในสำนักอาจารย์ที่ดีที่สุด เพื่อนำความรู้นั้นมาพัฒนาหมู่บ้านให้มีความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป
    
       เมื่อไปถึงเมืองหลวง ระวี และ วิกรม ได้เลือกเรียนในสำนักของอาจารย์ที่แตกต่างกัน ระวี เห็นว่า หมู่บ้านคงไม่มีความสุขหากผู้นำไร้คุณธรรมในการปกครอง ดังนั้น ระวี จึงเลือกเข้าศึกษาในสำนักของอาจารย์ที่เน้นการสอนเรื่องคุณธรรมและปรัชญา แห่งความเป็นมนุษย์มากกว่าความเก่งกาจทางด้านวิชาการ ส่วน วิกรม นั้น มีความคิดเห็นต่างไปจากระวีโดยสิ้นเชิง วิกรมคิดว่า ตัวเขาต้องมุ่งศึกษาศาสตร์ความรู้ต่างๆ ให้มาก จะได้รู้มากกว่า เก่งกว่า และอยู่เหนือกว่าผู้อื่น ซึ่งน่าจะเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้นำ ดังนั้น วิกรม จึงเข้าศึกษาในสำนักของอาจารย์ที่เน้นการศึกษาศาสตร์ต่างๆ ที่มีความหลากหลายนับร้อยนับพันสาขา ยกเว้นด้านคุณธรรมที่เห็นจะไม่มีความสำคัญเลยในสำนักแห่งนี้
    
       ระวี และ วิกรม ขยันศึกษาในสำนักของตนอย่างพากเพียร ต่างพักอยู่ในสำนักของอาจารย์ที่ตนศึกษา และแทบจะไม่ได้เจอหน้ากัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง วิกรม เข้าไปเก็บตัวอย่างพืชพรรณไม้ป่าตามคำสั่งของอาจารย์ เพื่อนำกลับไปศึกษาในสำนัก ระหว่างที่กำลังเก็บดอกไม้ดอกหนึ่งอยู่ ด้วยความรีบร้อนไม่ทันระวังตัว หนามอันแหลมคมของมันก็ขูดเข้ากับท้องแขนของเขาเป็นทางยาว และมีเลือดไหลซิบๆ ออกมา วิกรม โกรธต้นไม้ต้นนี้มาก จนรู้สึกเดือดพล่าน เขากล่าวสาปแช่งต่างๆ นานาแก่ต้นไม้เป็นการใหญ่
    
       ตอนนั้นเองที่ระวีเดินผ่านมาเห็นพอดี เขารีบเข้าไปห้ามเพื่อน และเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ระวีก็พูดว่า
    
       “อย่าทำเช่นนั้นเลยเพื่อนเอ๋ย ต้นไม้มิได้ผิดอะไร เขาอยู่ของเขาดีๆ เพื่อนต่างหากที่ไปรุกรานทำร้ายเขา จงกล่าวขอโทษ และแผ่เมตตาให้แก่ต้นไม้เถิด”
    
       วิกรม ได้ฟังดังนั้นก็พาลโกรธระวีไปอีกคน เขาว่ากล่าวระวีในเรื่องที่เลือกสำนักอาจารย์ในการศึกษาไม่เป็น ทำให้เงินจากน้ำพักน้ำแรงของชาวบ้านที่สู้อุตส่าห์แบ่งปันมาให้ต้องสูญเปล่า
    
       “ไม่เป็นเช่นนั้นหรอกเพื่อน เพราะตัวข้านั้นหมั่นศึกษาคุณธรรมอยู่เป็นนิจ ข้าสำนึกในคุณค่าและบุญคุณของชาวบ้านเสมอ” ระวี แก้ความเข้าใจผิดของเพื่อน
    
       “มีคุณธรรมแต่ขาดความรู้จะทำอะไรได้ หากเจ้าไปบอกใครๆ ว่า ตัวเจ้ามีคุณธรรม เขาจะชื่นชมเจ้าเท่ากับที่เจ้าแสดงภูมิความรู้ให้เป็นที่ปรากฏหรือ...ดู อย่างข้านี่สิ ข้ารู้จักพืชพรรณในป่านี้ทุกชนิด เพราะข้าขยันท่องชื่อของพวกมันทั้งวันทั้งคืน จนแม้แต่อาจารย์ก็ยังชื่นชมไม่ขาดปากว่าข้านั้นมีความจำเป็นเลิศส่วนเจ้า เล่า...รู้อะไรอย่างที่ข้ารู้บ้าง” วิกรม กล่าวโอ้อวด
    
       “ถูกแล้วเพื่อนเอ๋ย ข้านั้นไม่รู้อะไรมากเท่าที่เจ้ารู้หรอก ข้าไม่รู้ว่าพืชพรรณเหล่านี้ มีชื่อเรียกว่าอะไรบ้าง แต่ข้ารู้ว่าพวกเขาในที่นี้ทุกต้นล้วนมีชีวิตมีความรู้สึก เพราะฉะนั้น เราไม่ควรกล่าวคำชั่วร้ายแก่ต้นไม้ เพราะจะทำให้ต้นไม้เศร้าใจมาก” ระวี กล่าว
    
       “ไร้สาระ! สิ่งที่เจ้าพูดล้วนจับต้องไม่ได้ และข้าก็ไม่เชื่อเจ้าด้วย” วิกรม พูดกระแทกเสียงดัง แล้วเดินจากไปอย่างขัดเคืองใจ
    
       ส่วน ระวี นั้น เห็นใจต้นไม้ เขาจึงนั่งแผ่เมตตาให้แก่ต้นไม้เป็นเวลานาน
    
       เวลาผ่านไปจนกระทั่ง ระวี และ วิกรม มีอายุย่างเข้าสู่ปีที่ 25 ทั้งสองจึงกล่าวลาอาจารย์ของตน แล้วเดินทางกลับหมู่บ้าน ซึ่งมีชาวบ้านมารอให้การต้อนรับอยู่แล้ว
    
       วิกรม นั้น เมื่อมาถึงหมู่บ้านก็พูดจาโอ้อวดแสดงภูมิความรู้ต่างๆ ของตนแก่ชาวบ้านทันที ผิดกับ ระวี ที่พูดน้อย และกล่าวแต่คำไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบของชาวบ้านอย่างมีอัธยาศัยไมตรี
    
       ผู้นำหมู่บ้าน กล่าวว่า “ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ข้าจะจัดให้มีการเลือกผู้นำหมู่บ้านคนใหม่ ดังนั้นช่วงนี้ขอให้พวกเจ้าตัดสินใจให้ดีว่า ระหว่าง ระวี กับ วิกรม พวกเจ้าอยากให้ใครขึ้นมาเป็นผู้นำหมู่บ้านเราต่อจากข้า”
    
       แรกๆ นั้น พวกชาวบ้านออกจะมีใจนิยมชมชอบในตัวของวิกรม มากกว่า ระวี เนื่องจากดูทรงภูมิ และมีความรู้ต่างๆ มาก เวลาวิกรมพูดอะไรแต่ละครั้งเขาจะใช้คำพูดยากๆ ที่ชาวบ้านฟังแล้วไม่เข้าใจ เพราะรู้สึกว่าพูดไปแล้วจะทำให้ตนเองดูมีความรู้และฉลาดกว่าผู้อื่น เมื่อมีชาวบ้านคนใดเอ่ยถามเพื่อความเข้าใจ วิกรม ก็หัวเราะก่อนจะอธิบายอย่างอวดภูมิ และตบท้ายด้วยคำพูดแบบยกตนข่มท่าน เสมือนว่า คนที่มาถามนั้นเป็นคนโง่ เพราะแม้แต่เรื่องง่ายๆ แค่นี้ก็ไม่รู้ ดังนั้น ในระยะหลังๆ จึงไม่มีใครกล้าถาม หรือพูดอะไรกับวิกรมอีก เพราะกลัวจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนโง่
    
       ฝ่ายระวีนั้น ไม่ เคยแสดงภูมิใดๆ ให้เป็นที่ประจักษ์ จนแรกๆ ชาวบ้านต่างพากันคิดว่า ระวีนั้นไร้ความโดดเด่นจนไม่มีอะไรให้พูดถึงตัวเอง แต่เมื่อได้ลองพูดคุยทักทายกันบ้างตามประสาชาวบ้าน ก็พบว่าพวกเขาสามารถเข้าใจสิ่งที่ระวีพูดได้ง่ายกว่าคำพูดของวิกรม เพราะระวีสนทนากับชาวบ้านด้วยภาษาที่เรียบง่าย ทำให้สื่อสารเข้าใจได้ตรงกัน และนอกไปจากนั้นพวกเขาก็ค่อยๆ รู้สึกว่า ถ้อยคำสั้นๆ ง่ายๆ ที่ระวีพูดนั้น แท้จริงแล้วกลับแฝงไว้ด้วยความเฉียบแหลมอยู่ในที ชาวบ้านจึงเริ่มมองระวีในแง่ใหม่ และเข้ามาพูดคุยกับเขามากขึ้น
    
       3 เดือนผ่านไป ถึงเวลาที่ชาวบ้านต้องเลือกผู้นำคนใหม่ ผู้นำหมู่บ้านคนปัจจุบันจึงมอบก้อนหินสีขาวให้ชาวบ้านคนละ 1 ก้อน แล้วให้เข้าไปหยอดในกล่องที่อยู่หลังฉากกั้นทีละคนๆ โดยให้เลือกหยอดลงในกล่องใบใดใบหนึ่ง ระหว่างกล่องของวิกรมกับกล่องของระวี
    
       วิกรม มองชาวบ้านเดินเข้าหลังฉากกั้นไปลงคะแนนด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง เขาแน่ใจว่า ด้วยความฉลาดทั้งหมดที่ได้แสดงออกสู่สายตาชาวบ้าน จะทำให้ตนเองได้รับเลือกเป็นผู้นำหมู่บ้านอย่างไม่ต้องสงสัย ในขณะที่ระวีไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมา และยืนรอผลการเลือกตั้งด้วยท่าทีสงบนิ่ง
    
       “ผลออกมาแล้ว” ผู้นำหมู่บ้านประกาศหลังนับคะแนนเสร็จ “ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำหมู่บ้านต่อจากข้าคือ...ระวี”
    
       สิ้นคำประกาศของผู้นำหมู่บ้านคนปัจจุบัน เสียงไชโยโห่ร้องจากชาวบ้านก็ดังกระหึ่มขึ้นด้วยความยินดีทันที ส่วนวิกรมนั้นยืนงงเป็นไก่ตาแตก และคิดว่าตนเองน่าจะฟังผิดไป
    
       “เดี๋ยวก่อนสิ ท่านผู้นำหมู่บ้าน! ท่านประกาศผลผิดไปนะ” วิกรม รีบทักท้วง
    
       “ไม่ผิดหรอก กล่องของระวีอัดแน่นไปด้วยก้อนหินสีขาว ส่วนของเจ้าไม่มีก้อนหินเลยสักก้อนเดียว” ผู้นำหมู่บ้านบอก
    
       “ว่าอย่างไรนะ! เป็นไปไม่ได้หรอก ข้าเป็นผู้มีความรู้มากนะทุกคนต้องเลือกข้าเป็นผู้นำสิ” วิกรม พูดอย่างเดือดดาล ด้วยความรู้สึกเสียหน้าและผิดหวังอย่างรุนแรง
    
       “ผิดแล้ววิกรม” ผู้นำหมู่บ้านกล่าวอย่างนุ่มนวล “ตาม วิสัยของผู้ที่จะมาเป็นผู้นำคนหมู่มากนั้น เขาจะต้องแสดงคุณค่าความเป็นมนุษย์ให้เป็นที่ประจักษ์ด้วย คุณค่าความเป็นมนุษย์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ การพูด คนที่มีคุณค่าต้องพูดแต่สิ่งดีๆ และมองผู้อื่นในแง่ดีอยู่เสมอ เพราะคำพูดนั้นสำคัญมาก เมื่อพูดออกไปแล้ว ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็เรียกคืนมาอีกไม่ได้ หากพูดไม่ดีคำพูดนั้นก็จะไปประทับอยู่ในจิตใจและสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้ อื่นไปนานแสนนาน ดังนั้น ผู้นำจะต้องเป็นคนที่พูดเป็น คิดถึงความรู้สึกของผู้อื่น อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่อวดดี และเต็มไปด้วยความรักความเมตตาในจิตใจ จึงจะทำให้ผู้ที่อยู่ใต้ปกครองเกิดความสุขได้อย่างแท้จริง”
    
       วิกรมได้ฟังหัวหน้าหมู่ บ้านกล่าวดังนั้น ก็เริ่มคิดได้ และเมื่อได้มองย้อนกลับไปถึงการกระทำต่างๆ ที่ผ่านมาของตนเอง เขาก็รู้สึกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ตนเองได้สร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้อื่นเสมอมา ผิดกับผู้นำหมู่บ้าน ระวีต่างหากที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ทุกประการ
    
       ดังนั้น วิกรม จึงหันไปแสดงความยินดีกับระวีด้วยใจจริง และมุ่งมั่นว่า จะกลับตัวกลับใจเป็นคนดีมีคุณค่า และช่วยเหลือระวีในการพัฒนาหมู่บ้านด้วยความจริงใจตลอดไป
    
       บทสรุปของผู้แต่ง
    
       การเป็นผู้มีความรู้มากนั้นมิใช่สิ่งที่ไม่ดีหรอก ตรงกันข้าม การเป็นผู้นำที่ดี ควรที่จะหมั่นศึกษาความรู้ต่างๆ มาประดับตนเองไว้เสมอ แต่อย่ารู้วิชาจนลืมไปว่าคุณค่าแห่งความดีนั้นเป็นอย่างไร เพราะนั่นไม่มีประโยชน์ และเสียเวลาขวนขวายหาความรู้ไปเปล่าๆ นอกจากนี้ ควรมีความรู้ควบคู่กับคุณธรรมและความดี ความรู้จึงจะบังเกิดผลสูงสุดทั้งแก่ผู้อื่นและตัวเธอเอง ซึ่งนั้นจะทำให้รู้ซึ้งถึงคุณค่าในตัวเองมากขึ้น และกลายเป็นที่ต้อนรับของผู้คนในทุกแห่งที่ย่างก้าวไปถึง

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

ที่สุด" ในชีวิตของ "ต๊อบ" วัยรุ่นพันล้าน

รวม "ที่สุด" ในชีวิตของ "ต๊อบ" วัยรุ่นพันล้าน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 เมษายน 2555 16:46 น.

ต๊อบ-อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ เจ้าของธุีรกิจส่าหร่ายทอดกรอบเถ้าแก่น้อย ณ เวลานี้ หากใครนึกอยากรับประทาน "สาหร่ายทะเลอบกรอบ" เชื่อว่าหลาย ๆ คนสามารถหลับตาแล้วเห็นภาพ "เถ้าแก่น้อย" ขึ้นมาได้อย่างชัดเจน เพราะนั่นคือยี่ห้อสาหร่ายที่มี "ต๊อบ-อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์" เด็กหนุ่มวัย 20 ต้น ๆ เป็นหัวเรือใหญ่ต่อสู้มาอย่างบากบั่น เริ่มต้นจากธุรกิจเกาลัด ก่อร่างสร้างตัวจนกลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจเถ้าแก่น้อยที่ทำยอดขาย 2,000 ล้านบาทในปี 2554 เรียกได้ว่า ติดตลาด และครองใจผู้บริโภคทุกกลุ่มเป้าหมายไปแล้ว

วันนี้ทีมงาน Life & Family ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ชายคนนี้ถึง 5 เรื่องราวความเป็นที่สุดในชีวิตที่ถึงแม้จะใช้เวลาพูดคุยกันเพียงไม่กี่นาที แต่ก็ทำให้เรารู้จัก และเห็นแง่มุมชีวิตของวัยรุ่นพันล้านรายนี้กันได้ดียิ่งขึ้น ส่วน 5 เรื่องความเป็น "ที่สุด" ของเขาจะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามอ่านพร้อม ๆ กันเลยครับ

1. ซ่าที่สุด

เห็นตี๋ ๆ และดูเรียบร้อยแบบนี้ ลึก ๆ แล้วแสบสันต์ไม่เบาเหมือนกัน ต๊อบเล่าว่า ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากป.6 ขึ้น ม.1 จากเด็กที่เคยใส่แว่น และค่อนข้างใส่ใจการเรียน พอมาเจอเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง ทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป เขาถอดแว่นออก และไม่สนใจเรียน เพราะรู้สึกว่า เด็กเรียนสาวไม่มอง แต่ถ้าเฮี้ยว ๆ สาวจะมอง และเมื่อมีกลุ่มเพื่อนมากขึ้น ความเฮี้ยวก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย จากที่ไม่เคยโดดเรียน ก็เริ่มโดดเรียน และไปโรงเรียนสายเป็นประจำ ทำให้ผลการเรียนตกลงเรื่อย ๆ และจบม.3 ออกมาด้วยเกรดเฉลี่ย 0.8

นอกจากนี้ เขามักจะให้ความสำคัญกับเพื่อน และผู้หญิงมาก ถ้ามีเงินเขาจะเต็มที่กับเพื่อน และสาว ๆ ของเขา จนคุณครูประจำชั้นเขียนบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรลงในสมุดพกเลยว่า "มนุษยสัมพันธ์ดี พูดเก่ง เถียงเก่ง ไม่ค่อยเรียน ติดผู้หญิง" นับเป็นความซ่าที่อยู่ในใจไม่รู้ลืม

ไม่เพียงเท่านั้น เขาเคยเกือบจะทำให้เพื่อนม. 5 กับรุ่นพี่ม. 6 ยกพวกตีกันด้วยเรื่องผู้หญิงมาแล้ว โดยเรื่องนี้ เขาเล่าย้อนกลับไปว่า ตอนอยู่ม.5 มีสาวคนหนึ่งมาชอบพอกับเขา แต่สาวที่เป็นถึงดาวโรงเรียนคนนั้นกลับมีแฟนอยู่แล้วนั่นก็คือรุ่นพี่ม. 6 จนเรื่องทราบถึงหูรุ่นพี่ และทำให้รุ่นพี่โมโหมาก กระทั่งวันหนึ่งเมื่อเห็นคู่อริ (ต๊อบ) เดินมา รุ่นพี่ไม่รอช้ารีบปรี่เข้าไปหา และกระโดดถีบทันที

เหตุการณ์ในตอนนั้น ทำให้เพื่อน ๆ ของเขาที่อยู่ในโรงอาหารลุกขึ้นมาสมทบ และเริ่มมีการขว้างปาจานชามกันขึ้น สุดท้ายก็ถูกครูเรียกสอบสวน แต่ที่หนักสุด ๆ คือคำพูดของแม่ที่บอกว่า "ลูกผู้ชายทำอะไรต้องมีจริยธรรม" เมื่อได้ฟังดังนั้นเขาถึงกับน้ำตาคลอเบ้า และสัญญากับตัวเองว่า จะไม่ก่อเรื่องแบบนี้ให้แม่เสียใจอีก

2. รักที่สุด

เมื่อถามถึงสิ่งที่รักมากที่สุดในชีวิตของต๊อบ "แม่" คือคำตอบของคำถามนี้ เพราะแม่คือผู้หญิงที่มีอิทธิพลกับชีวิตเขามาก ถึงแม้จะดื้อ และเกเรพอสมควร แต่เขาก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เพราะกลัวแม่เสียใจ และไม่เคยริลอง หรือคิดสูบบุหรี่ เพราะกลัวแม่จะได้กลิ่นบุหรี่ นอกจากนั้น แม่ยังเป็นแรงผลักดันให้เขาเริ่มหันมาทำธุรกิจด้วย เนื่องจากมีอยู่ช่วงหนึ่ง ครอบครัวถูกพิษวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 พ่นใส่ ส่งผลให้ที่บ้านเป็นหนี้ 40 ล้าน ซึ่งเขามักจะเห็นคุณแม่นั่งร้องไห้อยู่บ่อย ๆ และด้วยน้ำตาของคนที่รักมากที่สุดนี่เอง ทำให้เขาลุกขึ้นมาต่อสู้ และมุ่งมั่นหาช่องทางเพื่อสร้างรายได้ เพราะอยากให้แม่ และคนในครอบครัวกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนเดิม

"แม่เป็นผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด แม้ว่าท่านจะลำบาก หรือติดหนี้หลาย 10 ล้าน แต่แม่ก็ไม่เคยทิ้งผม หรือวันไหนถ้าผมรู้สึกท้อ และต้องการกำลังใจ แม่จะอยู่ข้าง ๆ ผมตลอด ยกตัวอย่างตอนที่ผมทำธุรกิจเกาลัด กว่า 30 สาขาแทบจะเจ๊งเพราะมีปัญหาเรื่องควัน ตอนนั้นผมขาดกำลังใจอย่างแรง แต่แม่เป็นคนเดียวที่อยู่กับผมตลอดเวลา และแม่จะสอนผมเสมอว่า เป็นคนต้องยอมเสียเปรียบบ้าง เพื่อรักษาบางอย่าง หรือให้ได้ส่วนอื่นที่มากกว่า" ต๊อบเผยความรู้สึกถึงแม่

3. เหนื่อยที่สุด

สำหรับช่วงเวลาที่เหนื่อยที่สุด ต๊อบบอกว่า เป็นช่วงที่เริ่มส่งสาหร่ายเถ้าแก่น้อยให้ร้านสะดวกซื้อกว่า 3,000 สาขา ตอนนั้นมีเวลา 3 เดือนที่จะต้องสร้างโรงงานให้เสร็จ แต่ที่หนัก และเหนื่อยกว่านั้นคือ การได้รับใบสั่งซื้อให้ทำสาหร่าย 400 ลัง และต้องส่งของภายในเวลา 7 วัน ซึ่งถือว่าหนักเอาการอยู่เหมือนกัน เพราะปกติผลิตเต็มที่ได้วันละ 40 ลัง 7 วันก็ 280 ลัง แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ ถึงจะถูกปรับไป 2,000 บาท เพราะส่งของล่าช้าไป 2 ชั่วโมง แต่ก็คุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับกลับมา

"ช่วงนั้นผมอดหลับอดนอนมาตลอด 7 วัน คืนสุดท้าย ผมเหนื่อย และง่วงมาก จึงเดินเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ เห็นตัวเองในกระจก ตกใจมากนึกว่า หลินฮุ่ย เพราะขอบตาดำปี๋เลย แต่พอออกมาเจอแม่ แม่เข้ามากอดผม ผมจำภาพวันนั้นได้ดี จำได้ว่า ทุกคนในครอบครัว เราช่วยกัน เราเหนื่อยด้วยกัน ผมเห็นพ่อนั่งแพ็คสาหร่าย เห็นแม่ใส่หมวก ใส่ที่ครอบผมนั่งทำงาน ดังนั้นผมบอกได้เลยว่า ถ้าไม่มีพวกเขาก็คงไม่มีผมในวันนี้" ต๊อบเผยถึงพลังแห่งความรักของครอบครัวที่ผลักดันให้เขามีวันนี้

4. เศร้าที่สุด

เมื่อเอ่ยถึงช่วงเวลาแห่งความเศร้า แน่นอนว่า หลายคนอาจมีความเศร้า และเรื่องที่ทำให้เสียน้ำตาแตกต่างกันไป เช่นเดียวกับต๊อบ ตลอดชีวิตของเขาล้วนมีเหตุการณ์ที่ทำให้เสียน้ำตาอยู่หลายเรื่อง แต่มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่เขาเสียใจ และรู้สึกเศร้าแบบสุด ๆ นั่นก็คือ การเห็นภาพคุณแม่อยู่ในสถานที่ที่ไม่ควรอยู่ (เขาขออนุญาตไม่เล่า เพราะมันเลวร้ายสำหรับเขามาก) ซึ่งภาพความลำบากของแม่ในวันนั้น ทำให้เขามีแรงฮึด และผลักดันตัวเองให้เดินหน้าต่อไป ถึงแม้จะเจอกับปัญหามากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่เขายึดถือ และท่องขึ้นใจมาตลอดคือ "อย่ายอมแพ้" และวันนี้เขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันคือหัวใจของความสำเร็จอย่างแท้ จริง

5. ภูมิใจที่สุด

ปิดท้ายกันด้วยความภูมิใจที่สุดในชีวิต ต๊อบบอกว่า ชีวิตนี้ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันนี้ วันที่มีคนชื่นชม และหลงใหลในสินค้าของเขา และด้วยสินค้าที่ติดตลาด และทำรายได้พุ่งพรวดนี้เอง ทำให้ในปี 2550 (3 ปีหลังจากตั้งบริษัทเถ้าแก่น้อยฯ) เขาสามารถใช้หนี้ 40 ล้านบาทของครอบครัวได้สำเร็จ ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจที่เขารู้สึกว่า มันมาไกลเกินกว่าที่ตัวเองตั้งใจไว้มาก แต่เกมธุรกิจยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะอนาคตเขาวาดหวังอยากทำให้ธุรกิจเถ้าแก่น้อยมียอดขายทะลุ 10,000 ล้าน และกลายเป็นสินค้าที่อยู่ในใจผู้บริโภคทั้งคนไทย และคนทั่วโลกให้ได้

ไม่แปลกที่เรื่องราวของเขาจะ เข้าตาผู้ใหญ่ค่ายจีทีเอช และถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ วัยรุ่นพันล้าน (Top secret) ที่สร้างความสำเร็จในเรื่องของคนดูได้มากขนาดนี้ และนี่คือ "ต๊อบ-อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์" เถ้าแก่น้อยพันล้าน ผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนหนุ่มสาวมากมาย

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ลิงโกง

เรื่องของลิงโกง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 พฤศจิกายน 2554 12:31 น.

คุณคิดว่าพฤติกรรมการโกงนั้นจะส่งผลต่อวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตอย่างไรบ้าง? บทความน่าสนใจจาก “นณณ์ ผานิตวงศ์” ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ www.siamensis.org อธิบายเรื่องนี้ด้วยหลักชีววิทยา และยินดีให้ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์นำมาเผยแพร่ต่อ

***************
เคยเห็นลิงหาเห็บหาเหาให้กันไหมครับ? ตัวนี้หาให้อีกตัว แล้วก็มีอีกตัวหาให้อีกตัว เสร็จแล้วมันก็ผลัดกันวนๆ หาให้กัน ถ้าทำอย่างนี้ทุกตัวในฝูงก็จะไม่มีเห็บมีเหาเหมือนกันเพราะต่างตัวต่างช่วยกันผลัดกันหา ทีนี้ลองนึกภาพว่ามีลิงหัวหมอตัวหนึ่ง เกิดเอาเปรียบเพื่อน นั่งให้เพื่อนหาเสร็จแล้วแทนที่จะหาให้เพื่อนบ้าง ก็หนีไปหาอะไรกินเสียอย่างนั้น ลิงที่ “โกง” ตัวนี้ได้เปรียบเพื่อนฝูงชัดเจนมาก เพราะกินแรงเพื่อนอย่างเดียว ถ้าไม่มีลิงตัวไหนจับได้ปล่อยให้เป็นแบบนี้ ลิงตัวนี้มีแนวโน้มสูงมากที่จะประสบความสำเร็จกว่าเพื่อนๆ ตามสังคมลิงคงไม่ใช่ได้ตำแหน่งหรือเงินทอง แต่อาจจะมีลูกที่แข็งแรงและโตเร็วกว่าตัวอื่นๆ เพราะแม่มีเวลาหาอาหารมากกว่าเพื่อน เพราะโกงแรงงานเพื่อน

ทีนี้สมมติว่าแม่ลิงขี้โกงมีลูกสามตัวก็สอนให้ลูกลิงขี้โกงด้วย คือไปนั่งให้เพื่อนหาเห็บเสร็จแล้วไม่หาคืนให้เพื่อน พากันไปหากินเที่ยวเล่นหาผัวหาเมียไปเรื่อย ปรากฏว่าครอบครัวนี้ประสบความสำเร็จสืบต่อกันหลายชั่วลิง เพิ่มจำนวนประชากรลิงโกงขึ้นเรื่อยๆ ถามว่าความซวยจะตกแก่ใคร? ถ้าหากมีประชากรลิงขี้โกงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ลิงนิสัยดีที่โดนเอาเปรียบจะมีเห็บเหาเต็มตัวและมีเวลาหากินน้อยกว่าประชากรลิงโกง ลิงนิสัยดีในฝูงก็จะมีจำนวนน้อยลงไปเรื่อยๆ และเมื่อถึงจุดหนึ่ง ลิงดีก็จะมีจำนวนน้อยเกินไปที่จะมาคอยนั่งหาเห็บหาเหาให้ลิงโกงเปล่าๆ ปรี้ๆ ผลก็คือลิงโกงก็จะมีเห็บเหา และไม่มีใครให้เอาเปรียบอีก เมื่อถึงจุดนั้น ประชากรลิงฝูงนี้ก็จะมีปัญหาเห็บหมัดและเหารุนแรงจนอาจจะล่มสลายไปก็เป็นได้

นี่คือสิ่งที่ถูกเรียกว่า “กลยุทธทางวิวัฒนาการที่ไม่เสถียร” (Evolutionary Unstable Strategy) คือการโกงจะทำให้ผู้ที่ถูกเอาเปรียบอ่อนด้อยลงเรื่อยๆ และเมื่อถึงจุดๆ หนึ่งก็จะไม่เหลือใครให้โกงและเอาเปรียบ ในที่สุดแล้วทุกคนจะเป็นผู้แพ้ในกลยุทธเช่นนี้

แต่ในทางกลับกันถ้าลิงทั้งฝูงทุกตัวร่วมมือร่วมใจกัน ช่วยเหลือกันไม่โกงกัน เอ็งหาเห็บให้ข้า ข้าหาเหาให้เอ็ง ลิงทั้งฝูงก็จะอยู่ร่วมกันได้อย่างปรกติสุขตราบนานเท่านาน แบบนี้เรียกว่าเป็น Evolutionary Stable Strategy (ESS) หรือ "กลยุทธทางวิวัฒนาการที่เสถียร" กล่าวคือถ้าหากมีการใช้กลยุทธเช่นนี้ในสังคมแล้วจะทำให้สังคมนั้นๆ ดำรงค์ต่อไปได้อย่างยั่งยืน ในกรณีนี้คือการร่วมมือกันต่างตอบแทนกันไม่โกงกันของสัตว์สังคมอย่างลิงอย่างคน จะทำให้สังคมก้าวไปข้างหน้าได้

จะเห็นว่าการโกง แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ถ้าหากมีการยอมรับและปล่อยให้สะสมไปเรื่อยๆ ก็จะก่อให้เกิดเรื่องใหญ่ได้ ที่เขียนเรื่องนี้เพราะมีเพื่อนส่งคำถามนี้มาถาม

"ถ้ามีรัฐบาลอยู่ 2 ประเภท โดยทั้งสองประเภทมีงบประมาณเท่ากันคือ 100 บาท ประเภทที่ 1 โกงไป 80 บาท แต่ทำงานเป็น ใช้เงิน 20 บาทบริหารประเทศ ทำให้ประชาชนได้รับความสุขความเจริญ สร้างความมั่นคงให้ชาติได้เป็น 100 บาทเท่าเดิม ส่วนประเภทที่ 2 เป็นคนดี สะอาด แต่ทำงานไม่เป็น ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ใช้เงิน 100 บาท แต่สร้างประโยชน์ให้ประชาชน...ได้แค่ 5 บาท เป็นคุณจะเลือกแบบไหน?”

เลือกยากไหม? แต่ถ้าเอาตาม ESS ยังไงก็ต้องเลือกประเภทที่ 2 เพราะการที่มีคนดีมาเป็นผู้บริหาร ถึงแม้ว่าคนนี้อาจจะด้อยความสามารถ แต่ในทางวิวัฒนาการแล้ว ในที่สุดสังคมนั้นๆก็จะต้องหาคนที่ดีและเก่งมาปกครองบ้านเมืองได้ และจะไม่ล่มสลายไปเสียก่อนเนื่องจากมีตัวอย่างผู้นำที่เป็นคนดี สังคมโดยรวมก็จะเป็นคนดี ไม่เห็นการโกงเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในสังคม ต่างกับถ้าหากเลือกประเภทที่หนึ่ง คือปล่อยให้มีการโกงเกิดขึ้นในสังคม โดยอ้างว่าโกงไปแล้วทำงานเป็น เอาไปคนเดียว 80 ให้คืนมา 20 แต่ก็ทำคืนอีก 4 เท่าขึ้นมาเป็น 100 ได้ ในระยะสั้น ทางเลือกนี้อาจจะดีกว่าทางเลือกที่สอง แต่ถ้าหากมองให้ไกลไปกว่านั้น คนที่โกง มีหรือที่จะโกงอยู่เท่านั้น? สังคมที่ส่งเสริมคนโกง มีหรือที่จะไปได้ไกล?

ลองนึกในทางกลับกัน สังคมที่ส่งเสริมให้คนที่คิดดีได้ปกครองบ้านเมืองถึงแม้จะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำไป แต่น้ำพริกนั้นก็ยังตกแก่ส่วนรวมทั้งหมด ถามว่าสังคมที่มีแต่คนดีในที่สุดแล้วจะเป็นไปไม่ได้เชียวหรือที่จะหาคนเก่งมาปกครองบ้านเมืองและลองนึกดูเมื่อถึงวันนั้นคนที่ทำงานเก่งก็จะสามารถทำเงิน 100 มาเป็น 400 ได้ เชียวนะ

Homo sapiens ไม่ได้มีวิวัฒนาการเจริญก้าวหน้ามาได้จนถึงทุกวันนี้ จากการสนับสนุนและยอมรับคนโกงในสังคม ผมเชื่อเช่นนั้น หรือถ้าใครอยากลงลึกละเอียดขึ้นแนะนำหนังสือเรื่อง Selfish Gene ของ Richard Dawkins อ่านแล้วการมองโลกของคุณจะเปลี่ยนไป

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

อธิฐานจิต

อธิษฐานจิตเสียก่อนทำบุญ

พฤษภาคม 27, 2011 โดย ธ. ธรรมรักษ์

การจะถวายของแก่พระภิกษุสงฆ์ ไม่ว่าจะเป็นการใส่บาตร การทำสังฆทาน หรือถวายอะไรก็ตามมักจะมีการอธิษฐานหรือที่เรียกว่าการ “จบของ” ซึ่งบางคนอาจจะจบนาน บางคนอาจจะจบช้าด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างในตอนนั้น

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ แห่งวัดสะแก จ.อยุธยา พระอริสงฆ์ที่ทุกคนกราบท่านได้ทั้งหัวใจ สมัยที่ท่านยังไม่ละสังขาร ท่านได้เมตตาสอนเรื่องว่าควรจะอธิษฐานอย่างไรที่ยังคงสืบทอดกันมาและยังมีปรากฏหลักฐานอยู่ในเว็บไซต์ของวัดถ้ำเมืองนะ (www.watthummuangna.com) ที่ขอแนะนำว่าเป็นเว็บไซต์ที่ดีมากเพื่อจะได้รู้จักหลวงปู่ดู่ รวมถึงแนวทางการปฏิบัติธรรมที่จะทำให้เจริญในธรรมได้ผลดียิ่งขึ้น หลวงปู่เมตตาสอนไว้ว่า

“ก่อนที่เราจะถวาย ให้จบมาเสียก่อนจากบ้าน เนื่องจากพอมาถึงวัด มักจะจบไม่ได้เรื่อง คนมากมายเดินไปเดินมา จะหาสมาธิมาจากไหน เราจะทำอะไรก็ตามอธิษฐานไว้เลย เวลาถวายจะได้ไม่ช้า เสียเวลาคนอื่นเขาอีกด้วย บางคนก็ขอไม่รู้จบให้ตัวเองไม่พอ ให้ลูกให้หลานจิตเลยส่ายหาบุญไม่ได้”

จากเมตตาของหลวงปู่ดังกล่าว ทุกคนก็จะได้รับทราบทางสว่างถึงการสร้างบุญแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยและอุทิศบุญได้แบบครบถ้วน เพราะในช่วงเวลาสำคัญที่กำลัง “จบของ” อยู่นั้นอาจจะถูกรบกวนจากปัจจัยภายนอกที่ยากจะควบคุมได้

ครูบาอาจารย์ท่านจึงเมตตาแนะนำว่าควรอธิษฐานเสียก่อนที่จะใส่บาตร ก่อนไปวัด ก่อนไปทำบุญเพื่อบุญจะได้ไม่ตกหล่นสามารถทำได้ทุกบุญที่เราทำ

การสร้างบุญกุศลนั้นขอให้ยึดหลักการสร้างบุญบารมีในบุญกิริยาวัตถุ 10 เป็นสำคัญที่มีทั้ง 10 ช่องทาง มีเพียงบุญจากการทาน เท่านั้นที่ใช้เงิน ส่วนที่เหลืออีก 9 ช่องทางไม่ต้องใช้เงินเลยแม้แต่บาทเดียวคือ บุญจากการรักษาศีล บุญจากการเจริญภาวนา บุญจากการอ่อนน้อมถ่อมตน บุญจากการช่วยเหลือสังคมรอบข้าง บุญจากการเปิดโอกาสให้คนอื่นมาร่วมทำบุญกับเรา บุญจากการ ยอมรับและยินดีในการทำความดี บุญจากการฟังธรรม บุญจากการธรรมทาน บุญจากการทำความเห็นให้ถูกต้องและเหมาะสม

เคล็ดสำคัญที่จะช่วยให้การทำบุญนั้นได้รับผลบุญมากคือ ต้องระมัดระวังจิตใจทั้ง 3 ระยะเป็นสำคัญต้องดูแลจิตให้ไปทางกุศลอย่าให้จิตตก ทั้งก่อนทำ ขณะทำและหลังทำบุญ ทั้ง 3 ช่วงระยะสำคัญนี้ต้องทำใจให้โล่งๆ โปร่งสบายๆ ยิ่งใจเป็นกุศล นิ่งมากเท่าใด บุญที่ได้รับก็มากตามเท่านั้นเพราะผู้ให้นั้นบริสุทธิ์

เคล็ดสำคัญที่ครูบาอาจารย์ท่านเน้นมากคือ อย่าไปคิดว่าทำบุญแล้วต้องได้ผลอย่างนั้น เมื่อนั้นเมื่อนี้ แบบต้องรวยทันใจ ต้องให้คนมาหลงรัก ต้องแก้ดวงตกเคราะห์ไม่ดีได้ ถ้าไปคิดหวังผลแบบนั้นเลย อาจจะไม่ได้ตามที่หวัง เพราะการคิดแบบนั้นจะไปขวางทางบุญไม่ให้ส่งผลได้เต็มที่

ขอให้ทำบุญแบบไม่หวังผลใดๆ เข้าตัว ทำบุญเพื่อชำระจิตใจให้สะอาด เพื่อให้คนอื่นมีความสุขในบุญของเราที่ทำ ส่วนเรื่องของอานิสงส์บุญอย่างไรก็ต้องได้ เป็นกฎแห่งกรรมอยู่แล้ว เราหว่านอะไรไว้ต้องได้ผลแบบนั้น

อยากได้อะไร อยากขอในเรื่องไหน ขอให้ ไปตั้งจิตในตอนอธิษฐาน ไม่ใช่ในช่วง 3 ระยะสำคัญที่ทำบุญอยู่

เคล็ดในการอธิษฐานนั้นจะอธิบายให้ทราบอย่างละเอียดชัดเจนทุกขั้นตอนในบทต่อไป และเวลาทำบุญก็อย่าไปกังวลว่าพระสงฆ์ ท่านจะเอาของที่ใส่ ทำสังฆทาน ปัจจัยต่างๆ ไปทำอะไร รวมถึงเวลาที่เราจะช่วยเหลือใครแล้วไม่ต้องไปหวังผลตอบแทน “ให้” เพราะอยากเห็นเขามีสุขได้ ให้เพราะอยากเห็นเขาคลายจากความทุกข์ ความไม่มีความขัดสนก็พอ

แต่อย่า “ให้” เพื่อเขาเอาไปทำบาปเป็นอันขาด เช่น การเลี้ยงเหล้า การให้เงินไปทำแท้ง ให้เงินไปทำในสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม เพราะการให้แบบนั้นคือ การร่วมกรรมไม่ดีที่จะส่งผลกรรมแรงมาก ต้องพิจารณาให้ดี

หลายคนทำบุญไม่ได้บุญเพราะจิตตกคิดไปทางอกุศล จิตส่ายไปคิดโน่นคิดนี่จนอาจจะถึงขั้นปรามาสพระสงฆ์ท่าน จะเป็นกรรมหนักเสียเปล่าๆ จะทำบุญแล้วไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องระแวง ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ว่าวัตถุทานที่ใส่บาตรนั้น

- ถ้าเป็นของดีที่ประณีตมากเหนือกว่าที่เรากินและใช้ก็จะได้บุญมากขึ้นทวีคูณ

- ถ้าเป็นของดีเสมอกับที่เรากินเราใช้ก็ได้บุญเท่าที่เราทำเสมอตัวตามนั้น

- แต่ถ้าเป็นของไม่ดีของเลวกว่าที่ตนเองกินและใช้ อานิสงส์ของบุญที่ได้นั้นจะน้อยมากเพราะเป็นทานที่ไม่เต็มใจ เป็นทานที่ขาดเจตนาที่เป็นกุศล

การพิจารณาคุณภาพของวัตถุทานนั้นสำคัญมาก มหาเศรษฐีหรือคนรวยบางคน มีเงินมากจริงเพราะได้รับอานิสงส์ในการทำทานมามาก แต่ก็มีหลายคนที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเงินนั้น เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะทานที่ทำมานั้นเป็นทานชั้นต่ำ ทำทานด้วยของไม่ดีหรือทำทานด้วยความไม่เต็มใจ หรืออาจจะมาจากการทำทานที่หวังผลตอบแทน ทำบุญแบบการค้าแลกเปลี่ยนกัน

คงจะพอเคยเห็นคนรวยที่ขี้เหนียวมาก เวลาที่จะกิน จะซื้ออะไรก็จะเลือกกินแต่ของใกล้จะเสีย หรือของเหลือเดน รวมถึงคนที่กินได้ประเภทกินแต่ข้าวต้มกับปลาเค็ม เศษผักอะไรประเภทนั้น ของดีๆ มีประโยชน์กินไม่เป็น กินไม่ได้ เหตุเป็นเพราะอาจจะทำทานชั้นต่ำมาก่อนและเหตุจากวิบากกรรมไม่ดีมาส่งผลให้เป็นเช่นนั้น ทั้งๆ ที่บางคนอยากจะกิน อยากจะใช้ของดีแต่ก็ทำไม่ได้ บางคนใส่เสื้อผ้าดีๆ กินอะไรดีๆ ไม่ได้เลย ต้องมีผื่นคันหรือถึงขั้นเจ็บไข้ล้มป่วยไปเลย

ดังนั้นการใส่บาตรหากไม่พิจารณาแล้วเอาของเหลือเดน ของบูดเน่าเสียไปใส่บาตร อันนี้จะพูดถึงการที่ไม่รู้มาก่อน นอกจากได้บุญน้อยหรือแทบจะไม่ได้บุญแล้ว ยังไปสร้างบาปเสียอีกเพราะพระสงฆ์ที่รับไปนั้น ท่านเอาไปฉันหรือใช้ไปแล้วเกิดผลเสียต่อสุขภาพ ถือว่าเป็นการไปขวางการปฏิบัติธรรมของท่านด้วย แต่สำหรับพวกที่รู้แก่ใจอยู่แล้วว่าของนั้นบูดเน่าเสีย แล้วยังเอาสิ่งของนั้นไปทำบุญอีก บุญนั้นไม่ได้รับอยู่แล้วล้านเปอร์เซ็นต์ มีแต่บาปล้วนๆ เท่านั้น

เหมือนเป็นการเอายาพิษไปให้พระสงฆ์เลยทีเดียว และจะทำอะไรไม่เจริญเลยในชาตินี้

ครูบาอาจารย์และบรรพบุรุษตั้งแต่ครั้งโบราณท่านรู้เรื่องเคล็ดวิชาเหล่านี้ดี ท่านจึงสอนเสมอว่าต้องพยายามเอาของดีที่สุดที่มีอยู่ใส่บาตร เช่น ข้าวปากหม้อที่หุงใหม่ กับข้าวที่ทำเสร็จใหม่ ผลไม้ที่กำลังสุกงอมดี อะไรที่ไม่ดีท่านจะไม่เอาไปใส่บาตรหรือเอาไปทำบุญ ทำสังฆทานเลยเป็นอันขาด เพราะท่านรู้หลักการทำบุญด้วยของที่ดีกว่าตนเองกินและใช้ เพื่อที่จะเกิดบุญมาก

ยิ่งสมัยนี้มักนิยมทำสังฆทานถังเหลืองกันมากเพราะสะดวกไม่ต้องเสียเวลาจัดเตรียม ขอแนะนำว่าให้ดูให้ดีๆ ในสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ในนั้นดูวัน เดือน ปีที่ที่หมดอายุด้วย หากยังพอที่จะมีเวลาก็ควรจะหาซื้อเองจะได้บุญมากขึ้นตามเจตนาและความพยายามในการสร้างบุญนั้น และยังมีอีกหลายอย่างที่พระสงฆ์ท่านต้องการใช้จริงๆ เช่น ยาสระผม รองเท้าแตะ เครื่องเขียน มีดโกน ผ้าขนหนูเนื้อดี ไฟฉาย ฯลฯ

ลองพิจาณาดูว่าอะไรที่ท่านต้องการใช้จริงๆ เพื่อให้ท่านสะดวกในการปฏิบัติธรรม การ”ให้”ที่ตรงกับคนรับต้องการนั้นได้บุญมากด้วย เพราะตรงกับความเดือดร้อน ตรงเวลา ตรงประโยชน์

หลายคนไม่ค่อยมีเวลาในตอนเช้าที่จะไปใส่บาตร เพราะอาจจะติดภารกิจต่างๆ ก็ให้เอาเงินที่จะใช้ใส่บาตรในแต่ละวันนั้น ใส่ซองหรือใส่กระปุกเก็บไว้ก่อน เมื่อมีเวลาเมื่อใดก็ไปที่วัดเอาเงินในกระปุกนั้นตั้งจิตอธิษฐานถวายเป็นค่าภัตตาหารของพระสงฆ์ สามเณร เงินนั้นจะน้อยหรือมากไม่เป็นไร ไม่สำคัญอยู่ที่เจตนา ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำว่า ควรฉลาดในการทำบุญคือ เฉลี่ยบุญให้ครบในทุกวัน

เช่น ใน 7 วันนี้เราเก็บเงินในกระปุกได้ 7 บาทก็อธิษฐานว่า ขอถวายเป็นค่าภัตตาหารของสงฆ์วันละ 1 บาทครบ 7 วัน พออาทิตย์หน้ามาทำใหม่ก็ใช้วิธีเดิมจะได้บุญครบถ้วนทุกวัน เงินบาทเดียว สลึงเดียวถ้าเป็นเงินบริสุทธิ์มาจากความอดออม มาจากความตั้งใจอย่างแรงกล้าแล้ว คนที่ทำทานนั้นจะได้บุญมากเหลือที่จะสุดบรรยายได้

สำหรับการเฉลี่ยบุญแบบนี้ จะทำให้เราได้สร้างบุญครบต่อเนื่องไปทุกวันไม่มีขาดตอน ถือว่าเป็นการสะสมบุญให้กลายเป็นบุญใหญ่ บุญกุศลก็จะหนุนนำชีวิตให้ดีขึ้นในทุกๆ วัน และเป็นการส่งเสริมให้จิตอยู่กับกุศลตลอดเวลา

หรืออาจจะใช้วิธีฝากหรือไหว้วานให้คนอื่นไปใส่บาตรแทนให้ก็ได้ แต่ก็ให้”จบของ” เงินนั้นเสียก่อนแล้วค่อยมอบเงินให้ไป เรื่องนี้ถือว่าได้บุญสองเท่าด้วย เพราะนอกจากจะได้บุญจากการใส่บาตรแล้ว ยังได้บุญจากการที่ชักชวนคนไปสร้างบุญด้วย แต่อย่าไปบังคับไปขู่เข็ญให้เขาทำแทนโดยที่ไม่เต็มใจ เพราะจะเป็นบาปปนกับบุญ

ถ้าอยากจะได้บุญถึง 3 เท่า 3 ทาง เงินที่เตรียมใส่บาตรไว้ที่เตรียมจะให้คนอื่นไปใส่บาตรแทนนั้น เราก็ให้เกินจำนวนที่เตรียมจะใช้ใส่บาตรจะดียิ่งขึ้น เช่น เงินที่เตรียมใส่บาตร 100 บาทใน 1 อาทิตย์ก็เพิ่มเป็น 150 บาทส่วนที่เพิ่ม 50 บาทให้เป็นทานแก่คนที่ไปใส่บาตรแทนให้ก็จะได้บุญทั้ง 3 ทาง

ครูบาอาจารย์อีกท่านหนึ่ง เมตตาแนะนำเสริมว่าโดยเฉพาะการ “จบของ” ก่อนใส่บาตรหรือทำสังฆทานนั้น ผู้ที่กำลังมีเจ้ากรรมนายเวรมารังควานมารบกวนหรือคิดว่ามี ที่กำลังทำให้เกิดปัญหาทั้งด้านการเงิน การงาน สุขภาพหรือด้านใดก็ตาม

ขอให้ตั้งจิตอธิษฐานอุทิศบุญไปตอนนั้นเลย…และต้องแบบเจาะจงเฉพาะตัว

เฉพาะเรื่องที่กำลังมีปัญหาอยู่ ถ้าจะให้ดีมากๆ ให้เจาะจงเรื่องที่ต้องการจริงๆ เพียงเรื่องเดียว อย่าเหมารวมทุกเรื่องแบบบุฟเฟต์ ปนมั่วสับสนกันไปหมดเพราะแรงบุญนั้นอาจจะกระจายไปเรื่องนั้นนิด ไปเรื่องนี้หน่อย จนอาจจะไม่เกิดพลัง ไม่เกิดผลเท่าที่ควร จึงขอแนะนำให้อธิษฐานในเรื่องเดียวแบบตรงประเด็นที่สุด เช่น

“ด้วยบุญกุศลในการใส่บาตร (หรือทำสังฆทาน) ที่ข้าพเจ้า ……….(ชื่อของตน) ได้ทำสำเร็จแล้วในวันนี้ ขออุทิบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร ที่ตามจองเวรอยู่ในขณะนี้ที่กำลังทำให้เดือดร้อนเรื่อง…..(เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม) ขอให้ท่านเมตตามารับ มาร่วมอนุโมทนาบุญที่ทำนี้ เมื่อท่านยินดีพอใจในบุญนี้แล้วขอให้ถอนตัวจากอุปสรรคที่กำลังเกิดขึ้น และให้อโหสิกรรมกับข้าพเจ้า ขออานิสงส์แห่งบุญนี้ช่วยปรับภพภูมิให้เจ้ากรรมนายเวรอยู่ในภพภูมิที่มีความสุขยิ่งขึ้นไป นับตั้งแต่บัดนี้เทอญ” (คำอธิษฐานนี้อาจจะแตกต่างกันไปตามครูบาอาจารย์ แต่รับรองว่าถ้าถูกธรรมแล้วดีทุกครูบาอาจารย์ เพราะท่านพิจารณาแล้วขอให้เลือกใช้ได้ตามจริตของท่าน)

เวลาที่อธิษฐานอุทิศบุญแผ่เมตตานี้ ในช่วงที่หลับตาตั้งจิตอธิษฐานขอให้นึกภาพว่ามีแสงสว่างมารวมที่จิตให้สว่างมากที่สุดเท่าที่จะนึกได้ แล้วส่งแสงสว่างนั้นออกจากจิตของเราให้พุ่งออกไปในวงกว้าง ยิ่งเราจำหน้าคนที่เราอยากอุทิศบุญไปให้ เช่น พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ลูก หรือเจ้าหนี้ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายให้ลำแสงที่ออกมาจากจิตนั้นพุ่งตรงไปที่เขาเลย จะเกิดผลดีมาก

สำหรับครูบาอาจารย์ พระอริยสงฆ์ พรหมเทพเทวาทั้งหลายที่เราอุทิศบุญเพื่อถวายและเพื่อโมทนาพระคุณความดีของท่าน ขอให้เปลี่ยนจากการนึกภาพของแสงเป็นดอกไม้แทน จะเป็นดอกบัวหรือดอกอะไรก็ได้ที่ท่านชอบ เปลี่ยนจากการส่งลำแสงพุ่งไปหาเป็นการถวายดอกไม้ท่านที่เท้าของท่านหรือตรงหน้าท่านก็ได้

หลายคนที่จิตมีกำลังมาก เมื่อเวลาอธิษฐานอุทิศบุญนี้สำหรับอุทิศโมทนาพระคุณความดีของสำหรับ พระอริยสงฆ์ พรหมเทพเทวา ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ดอกไม้ที่ถวายในจิตนั้นจากดอกไม้ธรรมดาจะกลายเป็นดอกไม้บุญที่สุกสกาวเหมือนเพชรที่มีแสงระยิบระยับ สวยงามมาก

ในส่วนของการอธิษฐานอุทิศบุญแผ่เมตตาไปให้เจ้ากรรมนายเวร คนที่จิตมีกำลังมากจะเห็นภาพในนิมิตเหมือนดาวระยิบระยับพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า ซึ่งก็หมายความว่า เจ้ากรรมนายเวรเขามีความสุขได้ปรับภพภูมิที่สูงขึ้นด้วยอานุภาพแห่งบุญที่เราอธิษฐานอุทิศบุญแผ่เมตตาไปให้ (แต่ท่านที่ไม่เห็นก็ไม่เป็นไร ขอให้ใจเป็นสุขในการให้และหมั่นทำไปเรื่อยๆ จะเห็นเอง)

สำหรับเจ้ากรรมนายเวรที่สร้างปัญหาชีวิตให้กับเรานั้นมีอยู่ 2 แบบที่อยากจะเรียนให้ทราบ คือ แบบที่หนึ่งเป็นดวงจิตวิญญาณที่อยู่กันคนละภพภูมิกับเรา ไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิสูงเป็นเทวดาหรือต่ำกว่าเราพวกผี พวกสัมภเวสีต่างๆ เป็นกายละเอียดที่เรามองด้วยตาเนื้อไม่เห็น การติดต่อกับเขาได้ต้องด้วยทางจิตเท่านั้นและการที่จะให้อะไรกับเขาต้องด้วยบุญเท่านั้นเช่นกัน จึงเป็นที่มาของการที่ต้องอุทิศบุญไปให้เขาเพื่อการอโหสิกรรม

แบบที่สองเป็นเจ้ากรรมนายเวรแบบมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้องญาติสนิทมิตรสหาย เพื่อนร่วมงาน คู่ค้า ลูกค้า สัตว์เลี้ยงหรือสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายที่มาทำให้เราทุกข์ใจหรือเดือดร้อนในเรื่องต่างๆ เจ้ากรรมนายเวรแบบมีชีวิตนั้นส่วนมากเราจะเป็นหนี้เขาด้วยการกระทำ เป็นหนี้เรื่องทรัพย์สินเงินทอง หากเราได้ทำการชดใช้และได้ไปขออโหสิกรรมกับเขา กรรมนั้นมักจะอโหสิกรรม

นอกจากเรื่องทางกาย วาจาและใจที่เขาอาจจะไม่อภัย เช่น ไปเบียดเบียนเขา ไปทำให้เขาเสียประโยชน์ ไปสร้างความเจ็บแค้นทางใจอย่างรุนแรงจนเขาแค้นมากอาจจะไม่เอาแล้วเงินทอง คอยจ้องจะทำให้เราเสียหายตกต่ำช้ำใจให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

บางคนเขาไม่แสดงออกแต่เขาแค้นอาฆาต ถ้าเจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิตแบบนี้เราไปหาเขาไม่ได้แน่นอนเพราะอาจจะไม่ปลอดภัย หากเรารู้จักชื่อเสียงของเขา ที่อยู่เป็นหลักแหล่งของเขา ตอนที่อุทิศบุญให้เอ่ยนามเขาและที่อยู่ด้วยจะดีมากๆ แบบเจาะจงตัวไปเลย

นอกจากอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรแล้ว การอุทิศบุญให้เทวดาประจำตัวของเจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิตนั้นสำคัญมาก

เพราะเจ้าหนี้บางคนนั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ ดวงจิตของเขาบางคนยังโกรธมากๆ คงไม่ยอมยกโทษให้ง่ายๆ และมีความแค้นอาฆาตรุนแรง การอุทิศบุญไปให้เทวดาประจำตัวของเขาก็เพื่อขอให้ท่านช่วยเมตตาดลบันดาลทำให้จิตเขากลับเข้ามาทางกุศล เพื่อขอให้ท่านช่วยนำทางเขาให้คิดมาทางธรรมได้เร็วขึ้น เพื่อให้เจ้าหนี้เขารู้จักการให้อภัย การปล่อยวางได้ ซึ่งจะนำไปสู่การอโหสิกรรมต่อไปที่จะสำเร็จลงได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งใช้ได้กับทุกเจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิต มีคนที่ทำงานแล้วเกิดปัญหากับเพื่อนร่วมงาน คู่ค้า เพื่อนบ้านหรือแม้แต่คนในบ้านการอุทิศบุญแบบเจาะจงนี้ช่วยให้คลายทุกข์มาแล้วมากมาย

การอุทิศบุญแบบเจาะจงอย่างนี้ เปรียบเหมือนบุรุษไปรษณีย์ที่ไปส่งจดหมายจะได้ส่งจดหมายนั้นถูกบ้านถูกตัว เพราะหากเราไม่เอ่ยชื่อเขาหรือเอ่ยถึงความเดือดร้อนที่ได้รับอยู่ในขณะนั้นแบบตรงตัว ตรงประเด็น ก็เหมือนเขียนจดหมายแต่ไม่จ่าหน้าซอง บุรุษไปรษณีย์ก็ไปส่งไม่ถูกคนนั้นแหละ

สุดท้ายในเรื่องนี้ ขอให้รับทราบไว้ด้วยว่า อันคนเรานั้นไม่ได้มีเจ้ากรรมนายเวรรายเดียวแน่ๆ แค่คิดแต่เพียงที่เคยสร้างกรรมในชาตินี้ ลองคิดทบทวนดูดีๆ ว่าคงมีมากมาย ยิ่งรวมกับในอดีตชาติแล้วต้องนับกันไม่ถ้วนเลยทีเดียว จึงเป็นเหตุผลที่หลายคนบอกว่า ทำไมวิบากกรรมไม่ดีจึงยังไม่หมดจากชีวิตเสียที ก็เพราะเราสร้างเจ้ากรรมทำให้เกิดเจ้ากรรมนายเวรมากมาย

การสร้างบุญและอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรนั้นจึงควรหมั่นทำทุกๆ วัน เพราะเราไม่รู้ว่าวันนี้ พรุ่งนี้จะเจอวิบากกรรมใดและเจ้ากรรมนายเวรท่านไหนมาทำให้เดือดร้อน จะเป็นกรรมหนักหรือกรรมเบา ถ้ามัวแต่นั่งรอให้วิบากกรรมไม่ดีมาส่งผล ยิ่งเป็นกรรมหนักฝ่ายไม่ดีด้วยแล้ว มันจะไม่ทันการณ์ ไม่ทันเวลา เป็นคนประมาทเหมือนคนไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา หรือเพิ่งจะมาคิดมาหัดว่ายน้ำตอนที่แพจะแตกแล้วมันไม่ทันแน่นอน

ดังนั้นเราควรจะสร้างบุญอธิษฐานอุทิศบุญแผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวรอย่างสม่ำเสมอถ้าทำแบบไม่หยุดยั้งแล้ว ชีวิตของเราก็จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะวิบากกรรมไม่ดีและจำนวนเจ้ากรรมนายเวรจะลดลงไปเรื่อยๆ เช่นกัน แต่ต้องทำด้วยความสำนึกผิด แล้วอยากจะให้เจ้ากรรมนายเวรเขามีความสุขพ้นทุกข์จริงๆ เจ้ากรรมนายเวรเขารับรู้ได้ถึงเจตนาที่แท้จริง อย่าไปหลอกเขาเพราะไม่มีทางหลอกเขาได้ เขามีจิตที่ละเอียดกว่าเรามาก ขอให้สำนึกผิดจริงๆ แล้วอยากจะขอโทษ อยากช่วยเขาจริงๆ จะทำให้เราหลุดจากอุปสรรคเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นเร็วมาก

เรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ได้ใช้เวลาอะไรมาก แต่ถ้าทำได้ถูกวิธีตรงช่องทาง ชีวิตก็จะมีความสุขเพิ่มขึ้นๆ ในทุกวัน โชคลาภที่ควรจะได้ก็จะเข้ามาเพราะเจ้ากรรมนาเวรเขาพอใจและให้อโหสิกรรมถอนตัวไป ไม่มาบังความสุข ไม่ปิดทางโชคลาภอีกแล้วนั่นเอง

เมื่อบุญเกิดขึ้นแล้ว เราสามารถน้อมเอาผลบุญนั้น มาอุทิศให้แก่ผู้อื่น เพื่อให้ผู้อื่นนั้นมีความสุขด้วย อีกทั้งยังเป็นการใช้หนี้เวร หนี้กรรม เศษเวร เศษกรรม ทั้งหลาย ที่เกิดจากบาปเวรอกุศลกรรมที่เราเคยสร้างไว้กับผู้อื่น อันเป็นผลให้เราได้รับวิบากกรรมชั่วต่างๆ นานา (ที่เรามักว่ามาจากเจ้ากรรมนายเวรนั่นแหละ) โดยบุญที่เกิดขึ้นนั้น ก็ยังเป็นบุญของเราอยู่ด้วย การอุทิศให้ผู้อื่น ก็เพื่อให้เขาได้อนุโมทนาและได้มีส่วนในบุญนั้นด้วย

ต่อจากนั้นเราก็กล่าวอุทิศบุญทั้งหลายนี้ให้กับบุคคลทั้งหลายที่เราปรารถนาจะอุทิศให้ แล้วจึงตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อให้บุญนั้นเกิดเป็นความสำเร็จในกิจการงานต่างๆ ตามที่เราได้ปรารถนา หรือตั้งเป้าหมายไว้ ส่วนการที่เราจะอุทิศบุญให้แก่ใคร บุคคลใดนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราจะไปเกี่ยวพันเชื่อมโยงกับบุคคลต่างๆ ในแง่ใด ในสถานการณ์ใด (ในทุกๆ ภพภูมิ หรือทุกมิติ) แล้วจึงเจาะจงอุทิศให้ไป (การอุทิศบุญต้องเจาะจง)

***(ควรทำให้ได้ทุกวัน และในแต่ละวันควรทำบุญให้ครบส่วน ทั้งในส่วนของ ทาน ศีล ภาวนา กรณีไม่มีโอกาสได้ทำทานทุกวัน หรือคิดว่ายังไม่พร้อมเพียงพอในเรื่องทรัพย์ปัจจัยที่จะนำไปใช้ในการทำบุญ ก็ให้หมั่นสะสมไว้ ใช้วิธีหยอดเงินใส่กระปุกออมสินรวบรวมไว้ก็ได้ แล้วนำไปทำทาน ถวายทาน ในแต่ละสัปดาห์ หรือตามโอกาส การทำบ่อยๆ จะทำให้จิตระลึกถึงบุญกุศลอยู่เสมอ)

คำกล่าวอุทิศ โดยทั่วไป ใช้คำว่าอุทิศได้ทั้งนั้น ส่วนคนที่มีบุญบารมีมาก เราก็ควรใช้คำที่เหมาะสม ว่า “อุทิศถวายแด่” เช่น พรหมเทพ เทวดา ชั้นสูง บรรพกษัตริย์ แต่ในส่วนของผู้ทรงพระคุณความดีสูงสุด ครูบาอาจารย์ สมณะทั้งหลาย เราใช้คำว่า ขอน้อมถวายผลบุญนี้เพื่อบูชาพระคุณความดี ของท่าน

ตัวอย่าง

- ขอน้อมผลบุญทั้งหลายทั้งปวงนี้ ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา อริยสังฆบูชา

- ขอน้อมถวายผลบุญทั้งหลายทั้งปวงนี้ ถวายเพื่อโมทนา และบูชาพระคุณความดีของ สมเด็จพระสังฆราชฯ ท่านพระอาจารย์…. ฯลฯ

- ขออุทิศถวายผลบุญทั้งหลายทั้งปวงนี้ แด่ ท่านท้าวพระยายมราช ท่านท้าวจตุโลกบาล พระแม่ธรณี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ฯลฯ

- ขออุทิศผลบุญทั้งหลายทั้งปวงนี้ ให้แก่ บิดา มารดา นาย ก. นางสาว ข. เจ้ากรรมนายเวร ฯลฯ



****คำอุทิศบุญนี้ได้รับเมตตาจากครูบาอาจารย์คนสำคัญของ ธ.ธรรมรักษ์ คือ พระอาจารย์เกียรติณรงค์ กิตฺติวฑฺฒโน สถานปฏิบัติธรรมบ้านสุกขวิปัสสโก (บ้านจิตกุศล) จ.เชียงใหม่

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์

ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นยืนยัน “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์” รุ่นใหม่ปลอดภัยกว่ารุ่นฟูกูชิมะ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 กรกฎาคม 2554 18:38 น.

ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นยืนยันเทคโนโลยี “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์” รุ่นใหม่ปลอดภัยกว่ารุ่นฟูกูชิมะ ชี้ปัญหานิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่นเป็นความผิดพลาดของมนุษย์ที่ไม่สามรถจัดการได้ทันท่วงที ระบุว่านักวิชาการเคยเตือน “เท็ปโก” เมื่อ 2-3 ปีก่อนถึงอันตรายจากสึนามิ แต่ผู้ประกอบการเพิกเฉย
ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นยืนยันเทคโนโลยี “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์” รุ่นใหม่ปลอดภัยกว่ารุ่นฟูกูชิมะ ชี้ปัญหานิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่นเป็นความผิดพลาดของมนุษย์ที่ไม่สามรถจัดการได้ทันท่วงที ระบุว่านักวิชาการเคยเตือน “เท็ปโก” เมื่อ 2-3 ปีก่อนถึงอันตรายจากสึนามิ แต่ผู้ประกอบการเพิกเฉย

       

       ดร.ทากาโตชิ ทาเกโมโตะ (Dr.Takatoshi Takemoto) วิศวกรนิวเคลียร์จากห้องปฏิบัติการวิจัยเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ สถาบันเทคโนโลยีโตเกียว (Tokyo Institute of Technology) ประเทศญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ว่า จากประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์กว่า 20 ปีของเขานั้น บอกได้เทคโนโลยีโรงไฟฟ้นิวเคลียร์ในปัจจุบันซึ่งเดินมาถึงรุ่นที่ 4 แล้ว มีความปลอดภัยมากกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟูกูชิมะ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รุ่นแรก

       

       แม้ว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะไดอิจิ (Fukushima Daiichi) ของบริษัทโตเกียวอิเล็กทริกพาวเวอร์ (Tokyo Electric Power Co.) หรือเท็ปโก (TEPCO) จะประสบกับภัยธรรมชาติทั้งแผ่นดินไหวและสึนามิ แต่ในมุมของ ดร.ทาเกโมโตะมองว่าปัญหาที่เกิดนั้นเป็นความผิดพลาดของมนุษย์ โดยเป็นปัญหาเรื่องการจัดการ ซึ่งหากทำได้ดีปัญหาก็จะไม่ใหญ่โตขนาดนี้ แต่เท็ปโกกลับไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อ 2-3 ปีก่อนนักวิชาการเคยเตือนว่าจะเกิดสึนามิสูงกว่าระดับกำแพง 10 เมตรที่สร้างไว้ แต่ผู้ประกอบการกลับไม่ลงทุนสร้างกำแพงให้มีความสูงในระดับที่น่าจะปลอดภัย

       

       หลังเหตุการณ์ภัยพิบัติธรรมชาติและส่งผลกระทบต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ดร.ทาเกโมโตะบอกว่ามีเสียงคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ตามมา และฝ่ายค้านใช้เป็นเรื่องโจมตีรัฐบาล แต่ขณะนี้ทางรัฐบาลยังไม่ตัดสินใจว่าจะเอานิวเคลีรย์หรือไม่ ทั้งนี้ ญี่ปุ่นใช้พลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานพื้นฐานในสัดส่วนคงที่ 34% และใช้พลังงานน้ำมันเป็นพลังงานหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยเริ่มใช้พลังงานนิวเคลียร์มาประมาณ 50 ปี ซึ่งหลังจากรัฐบาลตัดสินใจสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จึงได้ส่งคนไปศึกษาเทคโนโลยีนี้ที่สหรัฐฯ

       

       ปัจจุบันญี่ปุ่นมีเทคโนโลยีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2 แบบ คือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเตาปฏิกรณ์น้ำเดือด (Boiling Water Reactor: BWR) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของมิตซูบิชิ และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเตาปฏิกรณ์ความดัน (Pressurized Water Reactor: PWR) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของโตชิบา โดยประมาณ 80% ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่น เป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบน้ำเดือด ทั้งนี้ญี่ปุ่นมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใช้งานอยู่ 55 โรง

       

       สำหรับเมืองไทยหากจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์บ้าง ดร.ทาเกโมโตะ แนะว่าควรต้องสร้างบุคลากรรองรับ และถ้าพัฒนาคนทางด้านนี้ขึ้นมาแล้วแต่ไทยไม่สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ บุคลากรเหล่านั้นยังไปทำงานในโรงไฟฟ้าอื่นๆ ได้เพราะใช้ความรู้พื้นฐานเดียวกัน

       

       ทั้งนี้ เป็นการเปิดเผยระหว่างการประชุมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ครั้งที่ 12 ซึ่งจัดขึ้นโดยสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์ (องค์การมหาชน) หรือ สทน. ระหว่างวันที่ 6-7 ก.ค.54 ณ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ ในหัวข้อ กึ่งศตวรรษนิวเคลียร์ไทย กับอนาคตในทศวรรษหน้า (Half Century and Upcoming Decade of Technology in Thailand)

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วาฬ: สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ในทะเล

วาฬ: สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ในทะเล
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 มิถุนายน 2554 08:10 น.

มนุษย์รู้สึกประทับใจในความมโหฬารของวาฬมานานนับพันปีแล้ว ภาพวาดอายุ 3,000 ปีที่ปรากฏบนผนังถ้ำในนอร์เวย์ แสดงให้เห็นว่า ชาวไวกิงในสมัยนั้นรู้จักล่าวาฬเป็นอาหาร และรู้จักนำกระดูกไปแกะสลักเป็นเครื่องประดับสำหรับสวมใส่ ชนเผ่า Basque ในสเปนเมื่อหนึ่งพันปีก่อน ก็รู้จักบริโภคเนื้อวาฬเป็นอาหารเช่นกัน เรือ Mayflower ที่ใช้อพยพคนอังกฤษไปอเมริกาเมื่อ 400 ปีก่อน ก็เป็นเรือล่าวาฬ

วาฬมิใช่ปลา ทั้งๆ ที่มีหางและอาศัยอยู่ในน้ำ การดูเผินๆ ทำให้แม้แต่ปราชญ์ Aristotle ก็ยังหลงผิด แต่การเข้าใจผิดนี้ได้รับการแก้ไขในปี 2236 เมื่อนักชีววิทยาชาวอังกฤษชื่อ John Ray ได้พิสูจน์ว่า วาฬมิใช่ปลา แต่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีเลือดอุ่น ออกลูกเป็นตัว และเลี้ยงลูกอ่อนด้วยนมเช่นเดียวกับคน แมว และม้า แม้โลกจะมีแมวน้ำและวอลรัสที่ต่างก็เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในทะเล แต่สัตว์ทั้งสองชนิดนี้เวลาจะออกลูก มันจะคลานขึ้นบก ส่วนวาฬ ไม่ว่าจะออกลูก เลี้ยงลูก จะอยู่ในทะเลตลอดเวลา

โลกมีตำนานเล่าเกี่ยวกับวาฬมากมาย เช่นคัมภีร์ไบเบิลของคริสต์ศาสนาได้กล่าวถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับวาฬว่า เมื่อพระเจ้าโปรดให้ Jonah เดินทางไปเมือง Nineveh แห่งอาณาจักร Assyria เพื่อห้ามชาวเมืองมิให้ทำบาปและประพฤติชั่ว Jonah มิได้รู้สึกปีติยินดีแม้แต่น้อย เขาได้หลบหนีไปกับเรือมุ่งหน้าสู่เมือง Tarshish แต่ขณะเดินทาง เรือถูกพายุพัดกระหน่ำจนเหล่ากะลาสีแตกตื่น และตระหนกตกใจกลัวว่าพระเจ้าจะลงโทษ จึงได้พร้อมใจกันโยน Jonah ลงทะเลเพื่อให้พระเจ้าทรงพอพระทัย Jonah ถูกวาฬกลืนเข้าไปในกระเพาะ หลังจากนั้นเป็นเวลานานสามวันสามคืน วาฬได้สำรอก Jonah ออกมาบนฝั่ง การเกือบสิ้นชีวิตในครั้งนั้นทำให้ Jonah สำนึกผิด จึงออกเดินทางไปเมือง Nineveh ทันทีอย่างไม่บิดพลิ้วอีกเลย และได้บอกชาวเมืองว่า ถ้าพวกเขาไม่เปลี่ยนพฤติกรรม พระเจ้าจะลงโทษ ชาวเมืองก็เชื่อฟัง

ในนวนิยายเรื่อง Moby Dick ของ Herman Melville ซึ่งถูกประพันธ์ในปี 2394 ก็ได้กล่าวถึงกัปตัน Ahab ว่ามีความประสงค์จะล่าวาฬสีขาวเจ้าเล่ห์ชื่อ Moby Dick ที่เคยกัดขาข้างหนึ่งของตนจนขาด ในการต่อสู้ระหว่างลูกเรือกับวาฬปิศาจชื่อ Moby Dick บรรดานักล่าวาฬได้ใช้ฉมวกทิ่มแทง Moby Dick หลายครั้งจนมันรู้สึกโกรธมาก ก่อนตายมันจึงใช้กำลังล่มเรือ ทำให้ลูกเรือจมน้ำตายเกือบหมด มีรอดชีวิตมาได้เพียงคนเดียว Melville ได้เขียนนวนิยายเรื่องนี้โดยใช้ประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานในเรือล่าวาฬ นวนิยายคลาสสิกเรื่องนี้มีจุดมุ่งหมายให้ผู้อ่านตระหนักในภัยอันตรายที่เกิดจากการล้างแค้น

นักชีววิทยาพบว่าโลกมีวาฬ 83 พันธุ์ เช่น วาฬครีบ (fin whale) วาฬเบลูกา (beluga whale) วาฬเพชฌฆาต (killer whale) วาฬหลังโหนก (humpback whale) วาฬหัวทุย (sperm whale) และวาฬไรต์ (right whale) ซึ่งสามารถพบเห็นได้ในทะเลและมหาสมุทรทั่วโลก วาฬเป็นสัตว์น้ำที่ต้องการอากาศหายใจ แต่ก็มิอาจดำรงชีวิตบนบกได้

เมื่อดูเผินๆ วาฬมีรูปร่างคล้ายตอร์ปิโด ตามีขนาดเล็ก และอยู่ข้างกะโหลก ทำให้มองตรงไปข้างหน้าไม่ได้ ดวงตามีไขหล่อลื่นตลอดเวลา น้ำเค็มจึงไม่เป็นอันตรายต่อตา ตามปรกติตาจะเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใต้น้ำได้ดีกว่าเหนือน้ำ วาฬไม่มีคอ มีจมูกอยู่ด้านบนของหลัง หางที่ทรงพลังของมันไม่มีกระดูก มีแต่กล้ามเนื้อ หน้าที่หลักของหางคือช่วยในการทรงตัวและว่ายน้ำ โดยเฉพาะวาฬเพชฌฆาตนั้นนับเป็นสัตว์ที่ว่ายน้ำได้เร็วที่สุดในโลก ด้วยความเร็วถึง 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

การมีลำตัวเรียบทำให้มันว่ายแหวกน้ำได้เรียบและเร็ว ใต้ผิวหนังมีไขมันเป็นชั้นหนา ไขมันช่วยให้ตัววาฬอบอุ่นขณะว่ายน้ำในทะเลแถบขั้วโลก อุณหภูมิร่างกายของวาฬสูงประมาณ 39 องศาเซลเซียส การมีไขมันมากทำให้ลำตัวไม่จำเป็นต้องมีขนปกคุลม แม้จะไม่มีใบหู แต่มันก็มีรูหูเล็กๆ รูหนึ่งอยู่บนหัว เวลาหายใจมันจะว่ายน้ำขึ้นมาหายใจที่ผิวน้ำเป็นจังหวะ เพราะเลือดวาฬดูดซึมออกซิเจนได้มากกว่าเลือดสัตว์บกอื่นๆ มันจึงสามารถดำน้ำได้ลึกมาก เวลาจะดำน้ำ มันจะหายใจเอาอากาศเข้าจนเต็มปอด แล้วดำดิ่งลงเป็นเวลานาน 15-20 นาที ขณะอยู่ใต้น้ำ อากาศในปอดจะได้รับความร้อนและมีความชื้นปริมาณมาก ดังนั้นเวลามันหายใจออก ไอน้ำที่ถูกปล่อยออกเมื่อปะทะอากาศเย็นจะกลั่นตัวเป็นหมอกให้เราเห็น ลมหายใจออกของวาฬจึงมีลักษณะคล้ายน้ำพุแต่ไม่ใช่น้ำพุ

วาฬเป็นสัตว์สังคมที่ชอบว่ายน้ำเป็นฝูง วาฬขนาดใหญ่ที่อาศัยในทะเลลึกจะไม่หากินใกล้ฝั่ง แต่วาฬที่มีขนาดเล็กกว่าชอบล่าเหยื่อตามชายฝั่ง การศึกษาฟอสซิลทำให้เรารู้ว่า วาฬเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่โลกเคยมี โดยเฉพาะปลาวาฬสีน้ำเงินอาจมีลำตัวยาวถึง 35 เมตร คือยาวกว่าไดโนเสาร์ Tyrannosaurus Rex ถึง 5 เท่า และมีปริมาตรลำตัวเท่ากับวัว 150 ตัว หรือช้าง 25 ตัว การมีขนาดใหญ่เช่นนี้ เนื่องจากกระดูกในลำตัวไม่จำเป็นต้องรองรับน้ำหนักตัวมันทั้งหมด เพราะมีแรงพยุงจากน้ำทะเลช่วย ด้วยเหตุนี้กระดูกวาฬจึงพรุนและไม่แข็งแรง ดังนั้นเวลาวาฬว่ายน้ำเกยตื้น น้ำหนักตัวที่มากมหาศาลจะกดปอด และกระดูกทำให้มันหายใจไม่ออกจึงตายในที่สุด เวลากินอาหาร วาฬมักกลืนอาหารทั้งชิ้นโดยไม่เคี้ยว ช่องคอวาฬบางพันธุ์มีขนาดใหญ่จึงสามารถกลืนคนได้ทั้งตัว แต่วาฬบางพันธุ์มีช่องคอเล็ก วาฬหัวทุยชอบกินหมึก ส่วนวาฬเพชฌฆาตชอบกินแมวน้ำ และนกเพนกวินมาก จนชาวประมงจัดมันเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกินเนื้อที่ดุร้ายที่สุดในโลก กระเพาะของวาฬมีโครงสร้างที่ซับซ้อน บางพันธุ์มีช่องในกระเพาะถึง 14 ช่อง แต่บางพันธุ์ก็มีเพียง 4 ช่อง

วาฬออกลูกคราวละตัวในน้ำ โดยให้หางของลูกออกมาก่อน ลูกวาฬที่คลอดใหม่มีสภาพเป็นปลาอย่างสมบูรณ์ มันสามารถว่ายน้ำรวมกลุ่มกับวาฬที่เติบโตเต็มที่ได้ทันที แม่วาฬจะให้นมลูกดื่มนานประมาณ 6 เดือน เพราะนมวาฬมีโปรตีนและสารอาหารสมบูรณ์ ดังนั้นลูกวาฬจึงเจริญเติบโตเร็ว พออายุได้ 3 ปีมันก็พร้อมสำหรับการเจริญพันธุ์ แต่นักชีววิทยาถือว่ามันจะเจริญเต็มที่เมื่อมีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป วาฬที่มีขนาดใหญ่จะผสมพันธุ์ปีเว้นปี และแม้จะมีขนาดใหญ่ แต่วาฬบางพันธุ์ก็อายุสั้น วาฬ baleen มีอายุประมาณ 20 ปี ในขณะที่มนุษย์มีอายุขัยประมาณ 70 ปี วาฬจับเหยื่อโดยใช้ระบบโซนาร์เช่นเดียวกับค้างคาว คือมันจะฟังเสียงสะท้อนจากเหยื่อ ซึ่งจะบอกรูปร่างและตำแหน่งของเหยื่อให้มันรู้ และเมื่อถึงฤดูสืบพันธุ์ วาฬตัวผู้จะร้องเพลงครวญคราง เสียงวาฬที่มีความถี่ต่ำสามารถเดินทางในน้ำได้ไกลเป็นร้อยกิโลเมตร มันใช้เสียงในการสื่อสารให้ตัวเมียรับรู้ วาฬบางพันธุ์เช่น วาฬสีเทาชอบอพยพโดยเฉพาะในฤดูหนาว มันจะว่ายน้ำจากชายฝั่งของประเทศเม็กซิโกไปอาศัยในทะเล Alaska ในฤดูร้อน มันจึงเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อพยพไกลที่สุดที่มนุษย์รู้จัก แม้เราจะรู้พฤติกรรมและธรรมชาติความเป็นอยู่ของวาฬมากก็ตาม แต่ก็มีพฤติกรรมหนึ่งของวาฬที่นักชีววิทยายังงุนงง และอธิบายได้ไม่ดีนักพฤติกรรมนั้นคือ การฆ่าตัวตายหมู่ ซึ่งบางครั้งอาจมีจำนานมากถึง 100 ตัว ซึ่งได้พยายามขึ้นมาตายบนฝั่งพร้อมๆ กัน และแม้มนุษย์จะลากตัวมันลงน้ำ เพื่อให้มันหายใจและมีชีวิตอยู่ต่อไป มันก็ไม่ยอมลงน้ำ แต่จะว่ายกลับมาทำอัตวินิบาตกรรมอยู่ดี

ในการศึกษาธรรมชาติการว่ายน้ำของวาฬ A.R. Martin แห่งหน่วยวิจัยด้าน Sea Mammalsa ของ Natural Environment Research Council ในประเทศอังกฤษได้พบว่า เวลาวาฬต้องการลอดใต้ภูเขาน้ำแข็งในทะเล มันจะว่ายดำเฉียงลงไปลึกประมาณ 1 กิโลเมตร แล้วว่ายเฉียงกลับขึ้นสู่ผิวน้ำอีกเป็นรูปตัว V Martin คิดว่า การว่ายน้ำลักษณะนี้ที่ระดับลึกมาก ทำให้มันเห็นช่องว่างระหว่างภูเขาน้ำแข็งซึ่งจะเป็นที่ที่มันสามารถโผล่ขึ้นหายใจได้ และเวลามันว่ายน้ำ มันใช้กำลังประมาณ 520 แรงม้า ด้วยความเร็ว 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เพราะเหตุว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแทบทุกชนิดอาศัยอยู่บนบก วาฬซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งหลับมีนิวาสสถานในน้ำ ดังนั้นนักชีววิทยาจึงใคร่รู้จักสัตว์ที่เป็นต้นตระกูลของวาฬ

การขุดฟอสซิลเพื่อค้นหาต้นตระกูลของวาฬ ได้ทำให้ H. Thewissen แห่ง Northern Ohio College of Medicine ในสหรัฐอเมริกา พบซากฟอสซิลดึกดำบรรพ์อายุ 49 ล้านปีของบรรพสัตว์แห่งวาฬ ในวารสาร Science ฉบับเดือนเมษายนปี 2535 เขาได้รายงานการพบที่หมู่บ้าน Ganda Kas ในหุบเขา Kala Chitta แห่งแคว้นปัญจาบของปากีสถานว่า โครงกระดูกที่มีความยาว 3 เมตร และหนัก 300 กิโลกรัมนี้ มีกระดูกขาหน้าสั้นอยู่ติดลำตัว ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Ambulocetus natans ตัวนี้เคลื่อนที่โดยใช้ขาหน้าเวลามันอยู่บนบกเพื่อยกตัวแล้วลากท้องไปตามพื้นดินเหมือนสิงโตทะเล และใช้ขาหลังที่มีขนาดใหญ่และแข็งแกร่งในการว่ายน้ำ การวิเคราะห์ทำให้ Thewissen สรุปว่า บรรพสัตว์ของวาฬเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างงุ่มง่าม และเคลื่อนที่ได้ช้าเวลาอยู่บนบก การหาอาหารได้อย่างยากลำบากขณะอยู่บนบก ทำให้มันต้องลงหาอาหารในน้ำเพราะมันว่ายน้ำได้คล่อง ดังนั้นเมื่อ 45 ล้านปีก่อนนี้ มันจึงพากันอพยพลงน้ำ แล้วดำรงชีวิตเป็นวาฬอย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่นั้นมา

การสืบค้นประวัติความเป็นมาของวาฬทำให้เรารู้เพิ่มว่าเมื่อ 65 ล้านปีก่อนนี้ โลกมีสัตว์เท้ากีบชนิดหนึ่งชื่อ Diacodexis ซึ่งได้วิวัฒนาการไปเป็น Pakicetus และได้กลายเป็น Ambulocetus ซึ่งเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก จากนั้นขาหลังของ Ambulocetus ก็หดหายไปจนเกือบหมดเป็น Dorudon ที่มีหางยาว และอาศัยอยู่ในน้ำเต็มตัว จากนั้นก็ได้วิวัฒนาการเป็น Balaena ซึ่งก็คือวาฬปัจจุบัน

วาฬเป็นสัตว์ที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์มาก มนุษย์รู้จักล่าวาฬมานานร่วม 800 ปีแล้ว เพราะพบว่าไขวาฬสามารถนำมาทำน้ำมันเชื้อเพลิง สบู่ ครีมล้างหน้า เนยเทียม และใช้หยอดเป็นน้ำมันเครื่องได้ ส่วนเนื้อวาฬนั้นก็นับเป็นอาหารที่โอชะสำหรับชาวญี่ปุ่น และสาร ambergris ที่พบในลำไส้ของวาฬหัวทุย เป็นสารประกอบที่ใช้ในการทำน้ำหอม เพราะประกอบด้วย sodium chloride, lime phosphate, alkaloids acid และ ambrin ซึ่งเวลาได้รับความร้อนจะอ่อนตัว และหาอุณหภูมิสูงจะระเหยและมีกลิ่นหอม

ทุกวันนี้ อุตสาหกรรมล่าวาฬเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่ทำกันมากในนอร์เวย์ ญี่ปุ่น และไอซ์แลนด์ จนทำให้วาฬบางพันธุ์เกือบสูญพันธุ์ เพราะถูกมนุษย์ล่าเป็นอาหาร ดังนั้นในปี 2509 องค์การ International Whaling Commission (IWC) จึงได้ถือกำเนิดเพื่อควบคุมการล่าวาฬ องค์กรนี้ได้ออกกฎหมายควบคุมการจับวาฬที่มีขนาดไม่เหมาะสม และห้ามจับวาฬในขณะที่มันมีท้อง แต่ถ้าจะต้องล่า ก็ให้ล่าเฉพาะวาฬที่มีไขมันมากเท่านั้น

ในการประชุมประจำปีของ IWC ที่เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เมื่อเดือนมิถุนายน 2549 ที่ประชุมได้พิจารณามาตรการลดจำนวนวาฬที่ตายเพราะติดแห และที่ได้รับบาดเจ็บเพราะถูกเรือพุ่งชนอย่างไม่ตั้งใจ รวมทั้งการลดปริมาณมลพิษในทะเลที่วาฬอาศัย และเสนอมาตรการตรวจ DNA ของวาฬทุกตัวที่จับได้ เพื่อป้องกันการล่าวาฬบางพันธุ์เป็นอาหารซึ่งผิดกฎหมายระหว่างประเทศ และเพื่อให้มาตรการตรวจ DNA ได้ผล ที่ประชุมได้เสนอให้เรือล่าวาฬทุกลำมีผู้เชี่ยวชาญด้านDNA ประจำ

แต่ก็ดูเหมือนว่า IWC จะเป็นเสือกระดาษ เพราะประเทศสมาชิกหลายประเทศได้ตัดสินใจที่จะมีองค์กรที่เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นของตนเอง และบางชาติก็อาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย ซึ่งประกาศจะล่าจับวาฬอีกในเดือนสิงหาคมและกันยายนศกนี้ โดยอ้างว่าเพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และจะเริ่มล่าวาฬเพื่อการค้าในอีกสามปีข้างหน้า เหตุผลหนึ่งที่รัฐบาลไอซ์แลนด์อ้างคือ ณ วันนี้ ทะเลรอบเกาะไอซ์แลนด์มีวาฬจำนวนมากจนทำให้ปลาชนิดอื่นจำนวนมากถูกวาฬจับกินเป็นอาหาร ซึ่งมีผลทำให้ชาวประมงไอซ์แลนด์มีรายได้ลดลงมาก

ในการล่าวาฬคราวนี้ ชาวประมงไอซ์แลนด์จะล่าวาฬพันธุ์ minke 100 ตัว พันธุ์ fin 100 ตัว และพันธุ์ sei 50 ตัว โดยใช้เวลาสองปี ทันทีที่รู้ข่าวนี้ องค์การกองทุนเพื่อธรรมชาติโลก (World Wide Fund for Nature) ได้ออกมาประท้วงรัฐบาลไอซ์แลนด์ที่อ้างเรื่องการวิจัยวิทยาศาสตร์มาบังหน้า และเรียกร้องให้ระงับการล่าวาฬเพื่อปกป้องสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ชนิดนี้

ในวารสาร Science ฉบับวันที่ 25 กรกฎาคม 2550 Joe Roman แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในสหรัฐอเมริกา ได้รายงานว่า ในการใช้ mitochondrial DNA ตรวจสอบประวัติความเป็นมาของปลาวาฬ เขาและคณะได้ตรวจพบว่า ในอดีตเมื่อ 200 ปีก่อน โลกเคยมีปลาวาฬหลังโหนกจำนวนมากกว่าที่เคยคิดถึง 10 เท่า (คือประมาณ 240,000 ตัว) และนั่นก็หมายความว่า ที่ผ่านมามนุษย์ได้ล่าวาฬไปมากกว่าที่คิด เพราะ ณ วันนี้ เรามีวาฬหลังโหนกเหลืออยู่เพียงหมื่นตัวเท่านั้นเอง

แต่ก็มีนักวิจัยอีกหลายคนที่ไม่ยอมรับการวิเคราะห์นี้ เพราะเท่าที่ปรากฏ วิธีวิเคราะห์มีความผิดพลาด และไม่มีใครรู้จำนวนวาฬที่แท้จริงว่ามีมากเพียงใด อีกทั้งวิธีการนับวาฬนั้นก็อาจผิดพลาด นอกจากนี้ความต้องการเนื้อวาฬของตลาดโลกก็ขึ้นๆ ลงๆ และเทคนิคการล่าวาฬก็เปลี่ยนตามกาลเวลา ปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีส่วนทำให้จำนวนประชากรวาฬไม่แน่นอน จนใครก็ทำนายไม่ได้แม่นยำ

ดังนั้นคนเหล่านี้จึงคิดว่าวาฬไม่ใกล้สูญพันธุ์จริง ปัญหาวาฬจึงนับว่ายิ่งใหญ่เท่าขนาดตัวมันครับ

สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.