วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ทีวีดิจิตอล

ทีวีดิจิตอล ไม่ใช่ทั้งทีวีดาวเทียม (Satellite TV) และเคเบิลทีวี (Cable TV) ทีวีดิจิตอลเป็นวิวัฒนาการล่าสุดของการส่งสัญญาณโทรทัศน์ภาคพื้นดิน (Terrestrial Television) ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อทดแทนทีวีแอนะล็อก (Analog TV) ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มีหลักการทำงานเหมือนกับทีวีแอนะล็อก คือส่งสัญญาณจากเสาโทรทัศน์ของสถานีผ่านอากาศ เข้าเสาก้างปลาหรือหนวดกุ้งของเครื่องรับโทรทัศน์ที่บ้าน แต่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงกว่า ด้วยการเปลี่ยนการเข้ารหัสจากแบบแอนะล็อกเป็นดิจิตอล ทำให้ 1 ช่องแอนะล็อกกลายเป็น 48 ช่องดิจิตอลทันที ทั้งยังรองรับการส่งสัญญาณภาพแบบ Full HD ความละเอียด 1,920x1,080 พิกเซล สัดส่วนภาพ 16:9 Wide Screen และรองรับการส่งสัญญาณเสียงแบบรอบทิศทาง (Digital Surround) ด้วย
     
       ประเทศไทยจะเปลี่ยนระบบโทรทัศน์ไปเป็นระบบดิจิตอลบนมาตรฐาน DVB-T2 (Digital Video Broadcasting-Second Generation Terrestrial) ทั้งหมด โดยจะเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงในปี พ.ศ. 2558-2563 ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีมากๆ สำหรับผู้บริโภค เพราะจากที่เคยมีฟรีทีวีให้ดูอยู่แค่ 6 ช่อง นับจากนี้ไปก็จะมีช่องให้เลือกมากขึ้นถึง 48 ช่องทีเดียว
     
       วิธีรับชมทีวีดิจิตอลก็ไม่ยาก ใช้เสาอากาศเดิมกับทีวีเดิมที่มีอยู่นั่นแหละ เพียงแต่ซื้อกล่องแปลงสัญญาณที่รองรับมาตรฐาน DVB-T2 มาต่อพ่วงเข้าไปแค่นี้ก็ดูทีวีดิจิตอลได้แล้ว หรือถ้าใครอยากซื้อโทรทัศน์ใหม่ก็ย่อมได้ ขอให้รองรับมาตรฐาน DVB-T2 ได้เป็นพอ ย้ำว่าต้อง DVB-T2 เท่านั้น หากเป็นมาตรฐานอื่น เช่น DVB-T (ไม่มีเลข 2 ต่อท้าย) แบบนี้เป็นคนละมาตรฐานกัน ดูไม่ได้
     
       ในส่วนของภาครัฐนั้นก็ให้การสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อย่าง เต็มที่ โดยมีนโยบายแจกคูปองส่วนลดให้แก่ทุกครอบครัวเพื่อใช้เป็นส่วนลดในการซื้อ กล่องรับสัญญาณหรือทีวีเครื่องใหม่ที่รองรับมาตรฐาน DVB-T2 ด้วย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มแจกคูปองได้ในปี พ.ศ. 2557
     
       ถึงบรรทัดนี้ เชื่อว่าคุณผู้อ่านคงเห็นภาพโดยรวมของระบบทีวีดิจิตอลในประเทศไทยบนมาตรฐาน DVB-T2 แล้ว และพร้อมรับเทคโนโลยีใหม่ที่จะมาถึงเมืองไทยในอีก 2 ปีข้างหน้า ผู้สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.samsung.com/th/smarttv/digitaltv/

วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

5 ของกิน อร่อยแทนยา!

ภาพ

ไม่ต้องไปวิ่ง หายากินให้ขมคอ แค่หยิบสิ่งเหล่านี้มาลิ้มลองรส คุณก็สามารถมีสุขภาพดีได้อย่างไม่ลำบากมากมายแล้ว ด้วยสรรพคุณของมันที่อาจไม่เคยรู้มาก่อน
       
       1. มันฝรั่ง = ยาลดความดัน
       ในมันฝรั่งมีสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติชื่อว่า “คูคัวไมน์ส” ช่วยควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำลงได้ผลชะงัก
     
       2. เนย = ยานอนหลับ
       ในเนยมีกรดอะมิโน ที่มีชื่อว่า “ทริปโตพัน” ช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และสะกดให้หลับได้สนิทยิ่งขึ้น
     
       3. ส้ม = ยาแก้เบื่อ
       กลิ่นส้มช่วยให้ รู้สึกผ่อนคลาย ส่วนวิตามินซีในนั้นช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนคลายความเครียด แก้เบื่อ แก้เซ็งได้ แต่มีข้อแม้ว่า ต้องกินโดยปอกเปลือกเองเท่านั้น
     
       4. ช็อกโกแลต = ยาแก้ไอ
       ในโกโก้ ซึ่งใช้ทำช็อกโกแลต มีสารที่ชื่อ “ธีโอโบรไมน์” ออกฤทธิ์ที่เส้นประสาท “เวกัสเนอร์ฟ” ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการไอ กินแล้วช่วยให้หยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผล
     
       5. บ๊วย = ยาชูกำลัง
       บ๊วยมีค่าความเป็น ด่าง PH 7.35 ซึ่งใกล้เคียงกับเลือดของคนเรา กินแล้วจึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างในร่างกายไว้ได้ ช่วยลดอาการอ่อนเพลียจากภาวะเหนื่อยอ่อน เนื่องจากกรดในเลือดสูง ค่าความเป็นด่างไม่สมดุล แถมยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารจำเป็นอีกเยอะแยะ
     
       Info Graphic โดย ASTV ผู้จัดการ LIVE

วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

ดอยหลวงเชียงดาวในหมวก 6 ใบ

ดอยหลวงเชียงดาวในหมวก 6 ใบ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
  
13 มกราคม 2556 12:19 น.    


ภาพดอยหลวงเชียงดาว ของคุณ “Jungle Man” ที่กระจายข่าวเกี่ยวกับการปลุกกระแสกระเช้าไฟฟ้าที่
เงียบหายไปกว่า 10 ปีจนเป็นกระแสสังคมในโซเซียลเน็ตเวิร์ค

การแก้ปัญหาด้วยการคิดแยกแยะเหตุผลที่ไปที่มาให้แจ่มแจ้ม ไม่ว่าจะคิดร่วมกันหรือนั่งคิดคนเดียว อาจทำให้รับมือกับปัญ
หาโหดหินได้ง่ายขึ้น เมื่อเกิดปัญหาสาธารณะ การแยกแยะข้อดี ข้อเสีย เพื่อสร้างสรรค์แนวคิดใหม่ๆ บนเหตุและผลที่หลากหลายเพื่อตัดสินใจร่วมกัน อาจทำได้ด้วยวิธีคิดแบบ “หมวก 6 ใบ”    
     
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีภาพดอยหลวงเชียงดาวยามเช้าที่โพสโดยช่างภาพ ท่านหนึ่งกระจายบนโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างรวดเร็ว เพราะเนื้อความได้พูดถึง “การปลุกกระแสสร้างกระเช้าขึ้นดอยหลวงเชียงดาว” ทำให้มีผู้ให้ความคิดเห็นหลากหลายทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ตัวนายปรี๊ดไปเยือนยอดเขาหินปูนแห่งนี้ถึง 3 ครั้ง เพราะในมุมของนักชีววิทยาดอยหลวงเชียงดาว คือ “หิมาลัยแบบไทยๆ” เนื่องด้วยมีพืชและสัตว์เฉพาะถิ่นจำนวนมากอาศัยอยู่ในภูมิประเทศอัน ทุรกันดารซึ่งหาดูที่อื่นไม่ได้     
     
หลายคนจึงสะท้อนความกังวลในฐานะเจ้าของทรัพยากรคนหนึ่งว่า หากนักท่องเที่ยวจำนวนมากหวังเพียงแต่ขึ้นกระเช้าไปปักหมุดลงไอโฟนหรือถ่าย ภาพลงเฟซบุ๊ก แทนที่จะเคารพและรักษาพื้นที่ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงแล้ว จะคุ้มกันหรือไม่กับสิ่งก่อสร้างต้นทุนสูง กระแสการสร้างกระเช้าไฟฟ้าดอยเชียงดาวจึงเริ่มเป็นที่สนใจอีกครั้ง หลังจากที่เงียบไปนานกว่า 10 ปี ปัญหาเรื่องนี้อาจบอบบางไม่ต่างกับธรรมชาติบนยอดดอย หรือสามารถขยับขยายจนเป็นฉนวนใหญ่จุดไฟทั้งด้านสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ และการเมืองขึ้นมาพร้อมๆ กัน     
     
ดังนั้น การหาวิธีการเพื่อสะท้อนความคิดของคนแต่ละฝ่ายตามหลักการคิดอย่างเป็นวิทยา ศาสตร์ เช่น การวิเคราะห์ข้อเท็จจริง แยกแยะ รวบรวม และชั่งน้ำหนักก่อนตัดสินใจอาจมีผลดี หรือลดผลกระทบที่ตามมาได้มากที่สุด
            
หนึ่งในวิธีคิดที่พูดกันมานาน สอนกันมานาน แต่กลับนำมาใช้น้อยมากในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมที่ปะปนด้วยข้อ เท็จจริงและความขัดแย้ง คือ “คิดแบบหมวก 6 ใบ” หรือการจำลองการสวมหมวกสีต่างๆ เพื่อกำหนดกรอบความคิดให้ชัดเจนในแต่ละประเด็น ซึ่งเสนอโดย ดร. เอดเวิร์ด เดอ โบโน (Edward de Bono) นักจิตวิทยาชาวมอลต้า เมื่อปี 1985 ในหนังสือชื่อ “Six Thinking Hats”     
     
วิธีคิดที่ ดร. เดอ โบโน ใช้เป็นวิธีคิดแบบแนวข้าง (Lateral thinking) ซึ่งจะให้ความสำคัญกับการจัดการข้อเท็จจริงและความคิดสร้างสรรค์ที่กระจัด กระจายอยู่รอบๆ ปัญหามาแยกแยะเป็นก้อนๆ เพื่อให้สะดวกต่อการต่อยอดทางความคิด ซึ่งเป็นการขยายกรอบในกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) ที่ต้องเริ่มต้นจับปัญหาให้มั่น และหาเหตุผลหรือวิธีแก้เป็นขั้นๆ ในแนวดิ่ง (Horizontal หรือ Logic to logic thinking)    
     
หากเปรียบง่ายๆ วิธีคิดแนวข้างอาจเหมือนการมองปัญหา และข้อเท็จจริงให้ทั่วทั้งก้อน แล้วนำไปวางตามขั้นบันได เพื่อวางแผนหรือกำหนดขั้นตอนการแก้ปัญหาที่ต้องเดินไปเป็นขั้นเป็นตอนให้ ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะระหว่างทางการเดินบนบันไดก็สามารถหยิบวัตถุดิบทางความคิดที่หลากหลาย นั้นมาใช้ได้สะดวก จึงเหมาะสมกับปัญหาที่มีผลกระทบกับคนหลายฝ่ายและมีความคิดเห็นจำนวนมาก     
     
ครั้งนี้นายปรี๊ดจึงขอลองใช้ตัวอย่าง “ปัญหากระเช้าไฟฟ้ากับดอยหลวง” ซึ่งมีความคิดเห็นหลากหลายมาเป็นตัวอย่างว่าเราจะสามารถหาวัตถุดิบทางความ คิดจากความแตกต่างนี้ได้อย่างไร แล้วจะมีไอเดียไหนที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด ถือว่าวันนี้เราใช้เรื่องกระเช้าดอยหลวงเชียงดาวเป็นแบบฝึกหัดเล็กๆ เพื่อมองปัญหาสังคมแบบแยกแยะก็แล้วกันครับ
           
หมวกสีขาว: หมวกแห่งข้อเท็จจริง หมวกสีขาวใช้แทนการให้ข้อเท็จจริง โดยไม่มีอารมณ์และความรู้สึกมาเกี่ยวข้อง นักวิทยาศาสตร์หรือนักวิชาการจึงมักถูกคาดหมายให้แสดงออกในลักษณะนี้ ดอยหลวงเชียงดาวเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดอันดับ 3 ของประเทศ แต่ถ้าเทียบกันระหว่างเขาหินปูนยอดดอยหลวงเชียงดาวนับว่าสูงที่สุดที่ระดับ ความสูง 2,275 เมตรจากระดับน้ำทะเล  
     
ความพิเศษของพื้นที่แห่งนี้ คือ ลักษณะของเขาหินปูนที่แข็งแกร่งแต่มีรูพรุนทำให้เก็บกักน้ำบนพื้นผิวไม่ได้ มีลมพัดแรงตลอดทั้งวัน ทำให้พรรณพืชที่ขึ้นมีลักษณะเป็นพุ่มเตี้ย หรือเป็นกอเล็กๆ ซึ่งภูมิประเทศประหลาดนี้ถูกเรียกว่าภูมิประเทศกึ่งอัลไพน์ (semi-alpine) คล้ายกับบางส่วนในเทือกเทือกเขาแอลป์และหิมาลัยแต่ก็มีความสูงน้อยกว่าและ แห้งแล้งกว่า 
     
จนทำให้พืชและสัตว์เกือบทั้งหมดที่สามารถปรับตัวอาศัยอยู่ที่นี่ได้ เป็น “สิ่งมีชีวิตถิ่นเดียว” ที่ไม่สามารถพบที่อื่น เช่น ต้นเทียนนกแก้ว ชมพูเชียงดาว คำป้อหลวง ดอกหรีดเชียงดาว กุหลาบพันปี ค้อเชียงดาว และกล้วยไม้สิรินธร ซึ่งเป็นสกุลใหม่ของโลก และมีความอ่อนไหวทางชีววิทยามากเพราะมักจะออกดอกผลในฤดูหนาว และพักตัวในฤดูแล้ง ส่วนสัตว์ก็พบ ไก่ฟ้าหางลายขวาง นกไต่ไม้ใหญ่ และสัตว์สงวนที่ใกล้สูญพันธุ์ที่สุดชนิดหนึ่งของไทยคือกวางผา
            
ดอยหลวงเชียงดาวมีความสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือเป็นต้นน้ำของลุ่มน้ำปิง จนทำให้พื้นที่แห่งนี้ถูกจัดเป็น “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว” ซึ่งมีจุดประสงค์หลักในการอนุรักษ์ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตเป็นหลัก ซึ่งต่างจากการประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อกิจกรรมสันทนาการและการท่องเที่ยวพ่วงเข้าไปด้วย     
     
ส่วนที่มาของการแนวคิดสร้างกระเช้าไฟฟ้า เริ่มต้นในปี 2546 เมื่อมีคนใหญ่คนโตท่านหนึ่งนั่งเฮลิคอปเตอร์ผ่านยอดเขาแล้วพูดว่า “น่าจะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว” แนวคิดต่างๆ จึงผุดขึ้นมาจนสุดท้ายมาลงที่การสร้างกระเช้าไฟฟ้าด้วบงบประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท แต่ด้วยขณะนั้นมีเสียงคัดค้านมากกกว่าสนับสนุน ทั้งสื่อ ภาคประชาขน และ NGOs ท้องถิ่น จนเกิดการรวมตัวเป็นภาคีดอยเขียงดาว เรื่องกระเช้าไฟฟ้านี้จึงเงียบลง จนกลับมาเป็นกระแสอีกครั้งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง     
     
หมวกสีแดง: หมวกแห่งความรู้สึก การใส่หมวกสีแดงเหมือนการปลดปล่อยความรู้สึก ทั้งดี ร้าย ลางสังหรณ์และความประทับใจต่างๆ สำหรับความคิดใต้หมวกสีแดง นายปรี๊ดประทับใจธรรมชาติของดอยหลวงเชียงดาวทั้งในมุมของนักเดินทางและนัก ชีววิทยา ในแง่มุมของนักเดินทาง ทางขึ้นดอยหลวงเชียงดาวท้าทายอย่างที่สุด เพราะต้องปีนเขาชันเท้าฝ่าแดดเปรี้ยงบนสันเข้าหินปูนที่มีร่มไม้ให้หลบเงา เพียงน้อยนิด ไม่มีแหล่งน้ำ ไม่มีฟ้า ไม่มีห้องน้ำตลอดระยะทางเกือบ 10 กิโลเมตร พบตกค่ำอากาศจะจะเย็นลงอย่างรวดเร็ว ก่อไฟไม่ได้เพราะไม่มีฟืน เล่นดนตรีไม่ได้เพราะจะรบกวนสัตว์ป่า แถมเดินไปไหนไม่ได้เพราะมีพื้นที่ราบไม่มาก    
     
หากแต่ดอยหลวงเชียงดาวถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางนิเวศน์ที่สมบูรณ์ แบบเพราะเมื่อตื่นมาในยามเช้ารางวัลยิ่งใหญ่คือการรับแสงแดดแรกบนยอดเขาสูง กลางทะเลหมอกที่กว้างสุดตา ซึ่งหลายคนที่ไปก็ล้วนแต่ได้สัมผัสถึงความนับถือในความมุ่งมั่นและร่างกาย ที่แข็งแรงของตนเองและความสามัคคีในหมู่เพื่อนร่วมทางที่พากันมาได้ถึงขนาด นี้     
     
ในแง่ของนักชีววิทยาดอยหลวงเชียงดาว คือ “ความฝันที่จับต้องได้” ทุกครั้งที่ไปเยือนนายปรี๊ดมักนั่งขลุกอยู่กับพื้นได้นานเป็นวันๆ เพียงเพื่อได้ก้มดูพืชพรรณแปลกตาที่ไม่พบที่ไหน มองเขาหินปูนและรับรู้บรรยากาศที่จำกัดให้สัตว์มีชีวิตต้องปรับตัวให้อยู่ รอด หรือนั่งเฝ้าดูนกกินปลีสีแดงเพลิงบินดอมดอกกุหลาบพันปีอยู่ไกลๆ หรืออาจะเพราะที่นี่เป็นเพียง “ที่เดียว” ในประเทศที่พาเราบินไปใกล้“หิมาลัย” ได้มากที่สุด อีกทั้งต้นไม้เล็กๆ ในบนยอดดอยที่แห้งแล้งอาจใช้เวลาหลายสิบปีในการเติบโต แต่การเหยียบย่ำเพียงครั้งเดียวอาจจบทุกอย่างได้ หากวันหนึ่งทุกอย่างหายไปก็เท่ากับว่าประเทศเราได้สูญเสีย “มรดกแผ่นดิน” ที่มีค่าไปและไม่มีโอกาสได้คืนมาอย่างเดิมแน่นอน

การคิดแบบหมวก 6 ใบ

หมวกสีเหลือง: หมวกแห่งการสนับสนุน เวลาสวมหมวกสีเหลืองสิ่งที่ต้องแสดงออกคือความหวัง ความคิดเพื่อสนับสนุนในเชิงบวก นายปรี๊ดเชื่อว่าการสร้างกระเช้ามีข้อดีกับชุมชน ในแง่ของความสะดวกสบายและเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้มีโอกาสมาเยี่ยมชม น่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้คนทุกเพศทุกวัยทั้งเด็ก วัยรุ่น และคนชราได้สัมผัสความมหัศจรรย์ของธรรมชาติอันจำเพาะถิ่นได้ง่ายขึ้น เพราะหากดำเนินการได้ตามแผนงานเดิมดอยเชียงดาวอาจรับรองนักท่องเที่ยวแบบครบ วงจรได้ทั้งภัทตาคาร ที่พัก และศูนย์การค้าที่จะสร้างขึ้นได้มากถึงปีละ 20,000 คน ถ้าจัดการได้ดีก็น่าจะทำให้ประชาชนรอบๆ มีโอกาสมีรายได้จากการท่องเที่ยวได้มาก ในแนวคิดแบบทุนนิยมอาจจะถือว่ามีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อชุมชนมากทีเดียว และอาจนำงบประมาณการพัฒนาด้านอื่นๆ เช่น ถนน เข้ามาในพื้นที่ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย     
     
หมวกสีดำ: หมวกแห่งการทบทวน ใช้ชี้จุดอ่อน การวิจารณ์จากบทเรียนในอดีต ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต คำเตือน หรือข้อควรระวัง ซึ่งหมวกใบนี้ถูกพูดถึงอย่างมากเมื่อกระเช้าไฟฟ้าถูกนำมาเป็นประเด็น และแน่นอนว่าหลายเรื่องล้วนแต่น่าห่วงทั้งสิ้น อันดับแรกคือ พื้นที่รองรับคนบนยอดดอยหลวงนั้นจำกัดมาก เพราะบนยอดดอยมีพื้นที่ราบที่ใช้กางเตนท์ก่อนขึ้นถึงยอดดอยกว้างเพียงสนามบา สเก็ตบอลต่อกันสัก 2 สนาม
         
ส่วนยอดดอยนั้นแคบมากขนาดเท่ากับสนามแบดมินตันเล็กๆ เท่านั้นแถมพื้นก็ยังเป็นหินแหลมคม ตะปุ่มตะป่ำเต็มไปด้วยมอสและพรรณไม้หายากซ่อนตัวอยู่ ในฤดูแล้งก็มักจะมีไฟป่าตามธรรมชาติลุกโซนเพราะพืชพรรณจะกลายเป็นเชื้อเพลิง ชั้นดีจนทำให้เขตรักษาพันธุ์มีข้อห้ามขึ้นดอยหลวงในช่วงฤดูแล้ง จนบางคนให้เหตุผลน่าฟังว่า “อาจต้องลืมเรื่องพาคนแก่และเด็กมาเที่ยวได้เลย เพราะวัยรุ่นแข็งแรงแค่เดินเล่นยังลำบาก” การสร้างกระเช้าซึ่งต้องมีสถานีรับส่งคน ไม่ว่าจะขนาดใด หรือจะอนุญาตให้พักค้างคืนได้หรือไม่ก็ตามอาจจะทำให้พื้นที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพนี้พังครืนลงได้ง่ายๆ ซึ่งยังไม่นับปริมาณขยะและห้องน้ำที่ต้องสร้างเพิ่มเติมอีก   
     
ในทางกฏหมายดอยหลวงเชียงดาวยังอยู่ในฐานะเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซึ่ง มีจุดมุ่งหมายเพื่อการอนุรักษ์อย่างเข้มงวดเป็นหลัก ไม่ใช่การท่องเที่ยวการสร้างกระเช้าจึงอาจจะไม่ได้มีเพียงชุมชนเพียงอย่าง เดียวที่สามารถตัดสินใจได้ อย่างน้อยที่สุดกรมอุทยานแห่งชาติก็ต้องแก้ไข พรบ.พื้นที่อนุรักษ์เพื่อเปลี่ยนจุดประสงค์ไปสู่การสันทนาการซึ่งก็น่าจะ เป็นเรื่องใหญ่     
     
ส่วนเรื่องที่สำคัญที่สุด คือ เรื่องของงบประมาณที่อาจได้ผลกำไรไม่คุ้มทุน เพราะพื้นฐานนักท่องเที่ยวไทยนั้นชอบลองของใหม่ไปเรื่อยๆ หากวันหนึ่งธรรมชาติบนดอยหลวงเชียงดาวเปลี่ยนไป มีคนจำนวนมากแย่งกันกินกันใช้จนพื้นที่หมดความนิยมในมนต์คลังของการเดินทาง ใครจะรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับธรรมชาติ วัฒนธรรมและงบประมาณที่สูญเสียไป จนคนท้องถิ่นบางท่านให้ความเห็นว่า ”อย่าให้เชียงดาวเหมือนเมืองปายแห่งที่สองเลย…เก็บไว้อย่างนี้จะยั่งยืนกว่า ไหม?”
       
หมวกสีเขียว: หมวกแห่งการสร้างสรรค์ หมวกสีเขียวใช้แสดงความคิดหรือไอเดียที่สร้างสรรค์และเป็นไปได้จริง กระเช้าไฟฟ้าในประเทศต้นแบบ เช่น สกีรีสอร์ทในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งคนใหญ่คนโตชอบไปดูงานอาจดูน่าสนใจในแง่การท่องเที่ยว แต่ก็เพราะทางขึ้นไม่มีอะไรสนใจนอกจากหิมะ การเดินเท้าก็ยากลำบากและเสี่ยงภัย กระเช้าไฟฟ้าจึงเป็นทั้งนวัตกรรมและสิ่งจำเป็นในการเดินทาง แต่ยอดเขามีชื่อหลายแห่งของโลกเข่น คิรีมานจาโรในแอฟริกา หิมาลัยในทิเบต เขาฟูจิในญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งโคตาคินาบาลูในมาเลย์เซียล้วนแล้วแต่มีเสน่ห์และสร้างรายได้ ด้วยการเดินเท้า    
     
จากประสบการณ์ส่วนตัวที่นายปรี๊ดเคยร่วมทีมสำรวจเส้นทางเดินเท้าขึ้น เขาลูกหนึ่งทางตะวันตกของไทย ซึ่งเป็นเขาหินปูนแห้งแล้ง ไม่มีร่มไม้ ทางเดินก็เสี่ยงเต็มไปด้วยหินผาชัน แต่มีทิวทัศน์ที่สวยอย่างน่าอัศจรรย์ หลังจากอุทยานพัฒนาข้อมูลพื้นฐานด้านทรัพยากร และเปิดให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวเพียง 25 คนต่อวัน รายได้ขั้นต่ำของไกด์และลูกหาบท้องถิ่น จุดพักแรม และข้อบังคับการขนขยะกลับ และเปิดเป็นเส้นทางพิสูจน์ใจมากว่า 5 ปี ทุกวันนี้ยอดเขาแห่งนั้นมีนักเดินทางขึ้นไปเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย มีคิวจองล่วงหน้าเป็นเดือนๆ พร้อมกับรายได้ของชุมชนที่มีเข้ามาอย่างยั่งยืน  
     
ประสบการณ์ที่ว่ามานี้อาจเป็นตัวอย่างหนึ่งของการจัดการที่ “ระบบ” ที่ไม่ต้องใช้ “การลงเงิน” แต่ต้องใช้ความจริงใจในการแก้ปัญหาและเปิดให้ชาวบ้านรอบพื้นที่มีส่วนร่วมใน การจัดการมากกว่าแค่การขอคะแนนเสียงเพื่อทำประชาพิจารณ์ปลดล็อคงบประมาณออก จากคลังเท่านั้น หรือหากมีเงินลงทุนและต้องการดึงนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักเข้ามาแทน การคิดวิธีขายแบบอื่นๆ ก็อาจเป็นไปได้ เช่น การทำบอลลลูนชมวิวที่ส่งผลกระทบต่อธรรมชาติน้อยกว่า แต่ได้เห็นความสวยงามของธรรมชาติเช่นกัน ซึ่งวิธีนี้ได้มีบริษัทเอกชนเปิดกิจการในเมืองพุกามเพื่อชมทะเลเจดีย์ในราคา หัวละกว่าหมื่นบาทและแน่นอนว่ายอดจองถล่มทลายต้องติดต่อล่วงหน้าเป็นเดือนๆ สะท้อนให้เห็นว่า “วิธีคิด” และ “วิธีขาย” ให้มีผลกระทบกับธรรมชาติน้อยที่สุดอาจจะเป็นทางที่สร้างสรรค์กว่า?   
     
หมวกสีฟ้า: หมวกแห่งการตัดสินใจ เมื่อเสนอทุกภาพข้อสรุปจึงมาถึง หมวกสีฟ้าใช้เพื่อการตัดสินและควบคุมกระบวนการ หรืออาจพูดว่าเป็นบันได้ขั้นบนสุดก่อนเปิดประตูเดินออกไปแก้ปัญหา พร้อมกับข้อเท็จจริงและข้อดี ข้อเสียที่เก็บสะสม วิเคราะห์มาตามรายทางบนบันไดแต่ละขั้นหรือหมวกแต่ละใบ สำหรับข้อนี้นายปรี๊ดอยากเสนอให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้นั่งคุยกันอย่าง จริงจัง และแยกแยะข้อดีข้อเสียให้ดี หากเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบและเริ่มพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ที่รายรอบดอยหลวงเชียงดาวก่อน เช่น วัดถ้ำเชียงดาว หรืออ่างน้ำร้อนแบบออนเซ็นบริเวณตีนดอยเชียงดาวที่มีนักท่องเที่ยวไทย และแบ็คแพ็คเกอร์ญี่ปุ่นมาเยือนเป็นประจำ พัฒนาเกสต์เฮาส์ให้สอดแทรกวิถีชีวิตของคนเชียงดาว พัฒนาเอกลักษณ์ของตลาดเล็กๆ กลางเมือง ลำธารใสที่ไหลจากยอดดอยที่นิ่งเรียบมีเสน่ห์แบบชาวบ้าน ไปจนถึงระบบไกด์และลูกหาบที่ไม่ผูกขาด อาจถือเป็นการเริ่มต้นพัฒนาที่ไม่ต้องใช้ทุนรอนมากมาย แต่ได้เปิดโอกาสให้ชุมชนได้ลองคิดได้ทำสิ่งใหม่...เผลอๆ สักวันหนึ่งอาจไม่ต้องรอกระเช้าราคาแพงที่ไม่รู้ว่าวันไหนจะได้เริ่มสร้าง คนรอบดอยหลวงอาจนั่งยิ้มนับเงินแบบยั่งยืนอย่างไม่รู้ตัว
 
นายปรี๊ดมักเปรียบการท่องเที่ยวเหมือนการเลือกซื้อรองเท้า ช่างบางคนเลือกใช้วัสดุราคาถูกตัดตามแฟชั่นประเดี่ยวประด๋าว คนซื้อใส่ไม่กี่ครั้งก็ต้องหาเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ช่างบางคนใช้วัสดุราคาแพง รูปแบบเรียบง่าย แต่พิถีพิถัน รองเท้าจึงมีราคาแพงและผู้ใช้พอใจใส่ได้นานเป็นสิบปี สุดท้ายใครอยากเป็นช่างแบบไหนก็ต้องตัดสินใจกันให้ดี คิดกันให้รอบด้าน เพราะคนซื้อสมัยนี้เค้าช่างเลือก มีรสนิยมหลากหลาย และไม่ชอบให้ใครมาชักนำ ใครจะจับรองเท้าไปยัดเท้าใครคงไม่ยอมง่ายๆ แถมเมื่อไม่พอใจยังป่าวประกาศบอกเพื่อนฝูงให้ “แบน” ร้านท่านได้ภายในไม่กี่นาทีอีกด้วย

เกี่ยวกับผู้เขียน
“นายปรี๊ด” นักศึกษาทุนปริญญาเอกด้านชีววิทยา ซึ่งมีประสบการณ์ในแวดวงวิทยาศาสตร์อย่างหลากหลาย     
ทั้งงานสอน บทความเชิงสารคดี ผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ ทำสื่อการสอน ของเล่นเชิงวิทยาศาสตร์     
กรรมการตัดสินโครงงาน วิทยากรบรรยายและนักจัดกิจกรรมเพื่อการจุดประการวิทยาศาสตร์จากสิ่งใกล้ตัว  
ติดตามอ่านบทความของนายปรี๊ดที่จะมาแคะคุ้ยเรื่องวิทย์ๆ...สะกิดต่อม คิด ให้เรื่องเล็กแสนธรรมดากลายเป็นความรู้ก้อนใหม่ ได้ทุกวันอาทิตย์เว้นอาทิตย์    

วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

อาการเพลียเรื้อรัง

อาหารกับอาการเพลียเรื้อรัง/ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 กันยายน 2555 10:55 น.
 
คุณเคยมีอาการเหล่านี้หรือไม่?
     
       เหนื่อยเป็นประจำ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง มีความรู้สึกซึมเศร้า แม้ว่าจะนอนมาทั้งคืนแล้วก็ยังไม่หาย อาการเป็นๆ หายๆ แต่จะเป็นมากกว่าหาย จนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

อาการเหล่านี้อาจมาจากสาเหตุของอาการเพลียเรื้อรัง (Chronic fatigue syndrome : CFS) ที่เกิดจากความผิดปกติจากระบบกลไกของร่างกาย โดยปัจจุบันนี้ยังไม่สามารถหาระบุสาเหตุได้แน่ชัด เมื่อเป็นโรคนี้จะส่งผลให้เกิดความอ่อนล้า เหนื่อยง่าย จนกลายเป็นอาการเรื้อรัง อาการนี้สามารถเกิดได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ บางการศึกษาระบุสาเหตุว่าอาจเกิดจากการที่มีโรคเรื้อรังอื่นมาก่อนและทำให้ ร่างกายเกิดกลไกสร้างความเครียดให้กับร่างกาย หรือบางการศึกษาระบุว่าเป็นเรื่องของจิตใจที่ไม่สามารถควบคุมได้
     
       อาการของโรคเพลียเรื้อรัง
     
       - มีอาการอ่อนเพลียที่เป็นอย่างต่อเนื่องมากกว่า 3 เดือนสำหรับเด็กหรือวัยรุ่น และมากกว่า 4 เดือนขึ้นไปสำหรับวัยผู้ใหญ่
       - นอนไม่หลับ หลับๆ ตื่นๆ ฝันร้าย หรือตื่นมาตอนดึกและไม่สามารถนอนต่อได้ เป็นประจำ
       - ปวดกล้ามเนื้อ หรือเมื่อยล้าบริเวณกล้ามเนื้อโดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณคอและบ่า
       - ปวดหัว
       - ไม่มีสมาธิ
       - ความจำแย่ลง
       - อาหารไม่ย่อย มีลมในกระเพาะอาหารเป็นประจำ
       - แพ้อาหารที่ไม่เคยแพ้มาก่อน เช่น ข้าว ขนมปัง ไข่ ถั่วเหลือง โดยอาการแพ้อาจแสดงออกเช่น คลื่นไส้ มีผื่นขึ้นตามตัว ท้องเสียเป็นต้น
       - อยากกินของหวาน ขนมหวาน น้ำตาลอยู่เป็นประจำ
     
       แม้ว่ายังไม่มีอาหารที่สามารถช่วยรักษาอาการเพลียเรื้อรังให้หายขาด ได้ แต่การรับประทานอาหารที่ถูกต้องสามารถช่วยลดอาการเพลียเรื้อรังได้ ช่วยให้มีความรู้สึกที่สดชื่นขึ้น และช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายทำให้ลดการเกิดโรคแทรกซ้อนอย่างอื่น ตามมา
     
       อาหารที่ควรรับประทาน
     
       - รับประทานอาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรตในทุกมื้ออาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง ข้าวโอ๊ต เผือก มัน ข้าวโพด มันฝรั่งทั้งเปลือก ขนมปังโฮลวีต ธัญพืชไม่ขัดสี เหตุผลที่เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เพราะจะมีค่าของดัชนีน้ำตาลต่ำทำให้ร่างกายค่อยๆ ได้รับน้ำตาล และช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล ทำให้ลดอาการต่างๆ ลงได้
     
       - รับประทานผักผลไม้ทุกวันโดยพยายามให้ได้ผักทุกมื้ออาหาร มื้อ ละอย่างน้อย 1 ทัพพี และผลไม้ 3-5 ส่วน (1 ส่วนเช่น ส้มเขียวหวาน 1 ลูก ชมพู่ 2 ลูก แอปเปิ้ลเล็ก 1 ลูก ฝรั่ง ½ ผล มะละกอสุก 6 ชิ้น กล้วย 1 ลูก) ผักและผลไม้เป็นแหล่งของสารอาหารที่มีประโยชน์และมีสารพฤกษาเคมีที่ช่วยเร่ง ให้ร่างกายต่อสู้กับอาการเพลียเรื้อรังรวมทั้งอาการข้างเคียง
     
       - รับประทานโปรตีนให้เพียงพอและเลือกโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เนื่อง จากร่างกายประกอบด้วยโปรตีนประมาณ 20% ของทั้งร่างกาย และโปรตีนยังมีความสำคัญต่อการสร้างฮอร์โมน เอนไซม์ และแอนติบอดีของร่างกาย จากงานวิจัยพบว่า ผู้ที่ขาดโปรตีนในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาของอาการเพลียเรื้อรังจะมีอาการที่หนัก มากกว่าผู้ที่ได้รับโปรตีนเพียงพอ เช่นผู้ที่ขาดโปรตีนจะมีอาการปวดของกล้ามเนื้อคอและหลังมากกว่าผู้ที่ได้รับ โปรตีนเพียงพอ
     
       - โกโก้และดาร์กช็อกโกแลตในปริมาณเล็กน้อยต่อวัน จากการศึกษาพบว่า สารโพลีฟีนอลที่มีอยู่ในโกโก้และดาร์กช็อกโกแลตจะทำให้ร่างกายผ่อนคลายและลด ความเครียด (แต่เนื่องจากโกโก้และดาร์กช็อกโกแลตมีคาเฟอีนอยู่ด้วยจึงไม่ควรรับประทานใน ปริมาณมาก)
     
       - ดื่มน้ำให้ได้วันละ 8-10 แก้ว (เน้น ทีน้ำเปล่าหรือน้ำสมุนไพรที่ไม่มีการเติมน้ำตาล) การที่ร่างกายขาดน้ำจะทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย และปวดหัวได้ง่ายอยู่แล้ว ยิ่งในผู้ที่มีปัญหาอาการเพลียเรื้อรังหากขาดน้ำอาการจะแย่ลง
     
       อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
       

       - อาหารที่ให้ไขมันสูง เช่น อาหารทอดน้ำมัน อาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่มีน้ำตาลสูง
       - อาหารที่มีการส่วนผสมของผงชูรส
       - อาหารหวานจัด อาหารเชื่อม
       - อาหารรสเค็มจัด
       - อาหารและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ เนื่องจากรบกวนการทำงานของระบบประสาททำให้ร่างกายตื่นตัวและอาจทำให้รู้สึก อ่อนเพลียมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้บางการศึกษาระบุว่าเครื่องดื่มกาเฟอีนมีผลต่อการนอนหลับพักผ่อนทำ ให้นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท
 

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555

นิทานสอนใจ : ผู้นำคนใหม่

ระวี และ วิกรม อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันมาตั้งแต่เล็ก เมื่อทั้งสองอายุได้ 5 ปี ผู้นำหมู่บ้านก็นำเงินที่รวบรวมได้จากชาวบ้าน มอบให้แก่เด็กหนุ่มทั้งสอง เพื่อเป็นทุนในการเดินทางไปศึกษาวิชาต่างๆ ต่อยังเมืองหลวง
    
       “ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าทั้งสองเหมาะที่จะได้รับทุนนี้มากที่สุด จงไปค้นหาสำนักอาจารย์ชั้นยอดในเมืองหลวง แล้วศึกษาวิชาความรู้เหล่านั้นอย่างพากเพียร กระทั่งในปีที่พวกเจ้ามีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์ ขอให้เดินทางกลับมายังหมู่บ้านของเรา เพื่อให้ชาวบ้านเลือกว่า ใครสมควรที่จะได้รับตำแหน่งผู้นำหมู่บ้าน เพื่อดูแลพวกเขาต่อจากข้า”
    
       ระวี และ วิกรม ดีใจอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกให้ไปศึกษาต่อ เขาสัญญาแก่ผู้นำหมู่บ้านและชาวบ้านทุกคน ว่า จะเข้าเรียนในสำนักอาจารย์ที่ดีที่สุด เพื่อนำความรู้นั้นมาพัฒนาหมู่บ้านให้มีความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป
    
       เมื่อไปถึงเมืองหลวง ระวี และ วิกรม ได้เลือกเรียนในสำนักของอาจารย์ที่แตกต่างกัน ระวี เห็นว่า หมู่บ้านคงไม่มีความสุขหากผู้นำไร้คุณธรรมในการปกครอง ดังนั้น ระวี จึงเลือกเข้าศึกษาในสำนักของอาจารย์ที่เน้นการสอนเรื่องคุณธรรมและปรัชญา แห่งความเป็นมนุษย์มากกว่าความเก่งกาจทางด้านวิชาการ ส่วน วิกรม นั้น มีความคิดเห็นต่างไปจากระวีโดยสิ้นเชิง วิกรมคิดว่า ตัวเขาต้องมุ่งศึกษาศาสตร์ความรู้ต่างๆ ให้มาก จะได้รู้มากกว่า เก่งกว่า และอยู่เหนือกว่าผู้อื่น ซึ่งน่าจะเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้นำ ดังนั้น วิกรม จึงเข้าศึกษาในสำนักของอาจารย์ที่เน้นการศึกษาศาสตร์ต่างๆ ที่มีความหลากหลายนับร้อยนับพันสาขา ยกเว้นด้านคุณธรรมที่เห็นจะไม่มีความสำคัญเลยในสำนักแห่งนี้
    
       ระวี และ วิกรม ขยันศึกษาในสำนักของตนอย่างพากเพียร ต่างพักอยู่ในสำนักของอาจารย์ที่ตนศึกษา และแทบจะไม่ได้เจอหน้ากัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง วิกรม เข้าไปเก็บตัวอย่างพืชพรรณไม้ป่าตามคำสั่งของอาจารย์ เพื่อนำกลับไปศึกษาในสำนัก ระหว่างที่กำลังเก็บดอกไม้ดอกหนึ่งอยู่ ด้วยความรีบร้อนไม่ทันระวังตัว หนามอันแหลมคมของมันก็ขูดเข้ากับท้องแขนของเขาเป็นทางยาว และมีเลือดไหลซิบๆ ออกมา วิกรม โกรธต้นไม้ต้นนี้มาก จนรู้สึกเดือดพล่าน เขากล่าวสาปแช่งต่างๆ นานาแก่ต้นไม้เป็นการใหญ่
    
       ตอนนั้นเองที่ระวีเดินผ่านมาเห็นพอดี เขารีบเข้าไปห้ามเพื่อน และเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ระวีก็พูดว่า
    
       “อย่าทำเช่นนั้นเลยเพื่อนเอ๋ย ต้นไม้มิได้ผิดอะไร เขาอยู่ของเขาดีๆ เพื่อนต่างหากที่ไปรุกรานทำร้ายเขา จงกล่าวขอโทษ และแผ่เมตตาให้แก่ต้นไม้เถิด”
    
       วิกรม ได้ฟังดังนั้นก็พาลโกรธระวีไปอีกคน เขาว่ากล่าวระวีในเรื่องที่เลือกสำนักอาจารย์ในการศึกษาไม่เป็น ทำให้เงินจากน้ำพักน้ำแรงของชาวบ้านที่สู้อุตส่าห์แบ่งปันมาให้ต้องสูญเปล่า
    
       “ไม่เป็นเช่นนั้นหรอกเพื่อน เพราะตัวข้านั้นหมั่นศึกษาคุณธรรมอยู่เป็นนิจ ข้าสำนึกในคุณค่าและบุญคุณของชาวบ้านเสมอ” ระวี แก้ความเข้าใจผิดของเพื่อน
    
       “มีคุณธรรมแต่ขาดความรู้จะทำอะไรได้ หากเจ้าไปบอกใครๆ ว่า ตัวเจ้ามีคุณธรรม เขาจะชื่นชมเจ้าเท่ากับที่เจ้าแสดงภูมิความรู้ให้เป็นที่ปรากฏหรือ...ดู อย่างข้านี่สิ ข้ารู้จักพืชพรรณในป่านี้ทุกชนิด เพราะข้าขยันท่องชื่อของพวกมันทั้งวันทั้งคืน จนแม้แต่อาจารย์ก็ยังชื่นชมไม่ขาดปากว่าข้านั้นมีความจำเป็นเลิศส่วนเจ้า เล่า...รู้อะไรอย่างที่ข้ารู้บ้าง” วิกรม กล่าวโอ้อวด
    
       “ถูกแล้วเพื่อนเอ๋ย ข้านั้นไม่รู้อะไรมากเท่าที่เจ้ารู้หรอก ข้าไม่รู้ว่าพืชพรรณเหล่านี้ มีชื่อเรียกว่าอะไรบ้าง แต่ข้ารู้ว่าพวกเขาในที่นี้ทุกต้นล้วนมีชีวิตมีความรู้สึก เพราะฉะนั้น เราไม่ควรกล่าวคำชั่วร้ายแก่ต้นไม้ เพราะจะทำให้ต้นไม้เศร้าใจมาก” ระวี กล่าว
    
       “ไร้สาระ! สิ่งที่เจ้าพูดล้วนจับต้องไม่ได้ และข้าก็ไม่เชื่อเจ้าด้วย” วิกรม พูดกระแทกเสียงดัง แล้วเดินจากไปอย่างขัดเคืองใจ
    
       ส่วน ระวี นั้น เห็นใจต้นไม้ เขาจึงนั่งแผ่เมตตาให้แก่ต้นไม้เป็นเวลานาน
    
       เวลาผ่านไปจนกระทั่ง ระวี และ วิกรม มีอายุย่างเข้าสู่ปีที่ 25 ทั้งสองจึงกล่าวลาอาจารย์ของตน แล้วเดินทางกลับหมู่บ้าน ซึ่งมีชาวบ้านมารอให้การต้อนรับอยู่แล้ว
    
       วิกรม นั้น เมื่อมาถึงหมู่บ้านก็พูดจาโอ้อวดแสดงภูมิความรู้ต่างๆ ของตนแก่ชาวบ้านทันที ผิดกับ ระวี ที่พูดน้อย และกล่าวแต่คำไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบของชาวบ้านอย่างมีอัธยาศัยไมตรี
    
       ผู้นำหมู่บ้าน กล่าวว่า “ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ข้าจะจัดให้มีการเลือกผู้นำหมู่บ้านคนใหม่ ดังนั้นช่วงนี้ขอให้พวกเจ้าตัดสินใจให้ดีว่า ระหว่าง ระวี กับ วิกรม พวกเจ้าอยากให้ใครขึ้นมาเป็นผู้นำหมู่บ้านเราต่อจากข้า”
    
       แรกๆ นั้น พวกชาวบ้านออกจะมีใจนิยมชมชอบในตัวของวิกรม มากกว่า ระวี เนื่องจากดูทรงภูมิ และมีความรู้ต่างๆ มาก เวลาวิกรมพูดอะไรแต่ละครั้งเขาจะใช้คำพูดยากๆ ที่ชาวบ้านฟังแล้วไม่เข้าใจ เพราะรู้สึกว่าพูดไปแล้วจะทำให้ตนเองดูมีความรู้และฉลาดกว่าผู้อื่น เมื่อมีชาวบ้านคนใดเอ่ยถามเพื่อความเข้าใจ วิกรม ก็หัวเราะก่อนจะอธิบายอย่างอวดภูมิ และตบท้ายด้วยคำพูดแบบยกตนข่มท่าน เสมือนว่า คนที่มาถามนั้นเป็นคนโง่ เพราะแม้แต่เรื่องง่ายๆ แค่นี้ก็ไม่รู้ ดังนั้น ในระยะหลังๆ จึงไม่มีใครกล้าถาม หรือพูดอะไรกับวิกรมอีก เพราะกลัวจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนโง่
    
       ฝ่ายระวีนั้น ไม่ เคยแสดงภูมิใดๆ ให้เป็นที่ประจักษ์ จนแรกๆ ชาวบ้านต่างพากันคิดว่า ระวีนั้นไร้ความโดดเด่นจนไม่มีอะไรให้พูดถึงตัวเอง แต่เมื่อได้ลองพูดคุยทักทายกันบ้างตามประสาชาวบ้าน ก็พบว่าพวกเขาสามารถเข้าใจสิ่งที่ระวีพูดได้ง่ายกว่าคำพูดของวิกรม เพราะระวีสนทนากับชาวบ้านด้วยภาษาที่เรียบง่าย ทำให้สื่อสารเข้าใจได้ตรงกัน และนอกไปจากนั้นพวกเขาก็ค่อยๆ รู้สึกว่า ถ้อยคำสั้นๆ ง่ายๆ ที่ระวีพูดนั้น แท้จริงแล้วกลับแฝงไว้ด้วยความเฉียบแหลมอยู่ในที ชาวบ้านจึงเริ่มมองระวีในแง่ใหม่ และเข้ามาพูดคุยกับเขามากขึ้น
    
       3 เดือนผ่านไป ถึงเวลาที่ชาวบ้านต้องเลือกผู้นำคนใหม่ ผู้นำหมู่บ้านคนปัจจุบันจึงมอบก้อนหินสีขาวให้ชาวบ้านคนละ 1 ก้อน แล้วให้เข้าไปหยอดในกล่องที่อยู่หลังฉากกั้นทีละคนๆ โดยให้เลือกหยอดลงในกล่องใบใดใบหนึ่ง ระหว่างกล่องของวิกรมกับกล่องของระวี
    
       วิกรม มองชาวบ้านเดินเข้าหลังฉากกั้นไปลงคะแนนด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง เขาแน่ใจว่า ด้วยความฉลาดทั้งหมดที่ได้แสดงออกสู่สายตาชาวบ้าน จะทำให้ตนเองได้รับเลือกเป็นผู้นำหมู่บ้านอย่างไม่ต้องสงสัย ในขณะที่ระวีไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมา และยืนรอผลการเลือกตั้งด้วยท่าทีสงบนิ่ง
    
       “ผลออกมาแล้ว” ผู้นำหมู่บ้านประกาศหลังนับคะแนนเสร็จ “ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำหมู่บ้านต่อจากข้าคือ...ระวี”
    
       สิ้นคำประกาศของผู้นำหมู่บ้านคนปัจจุบัน เสียงไชโยโห่ร้องจากชาวบ้านก็ดังกระหึ่มขึ้นด้วยความยินดีทันที ส่วนวิกรมนั้นยืนงงเป็นไก่ตาแตก และคิดว่าตนเองน่าจะฟังผิดไป
    
       “เดี๋ยวก่อนสิ ท่านผู้นำหมู่บ้าน! ท่านประกาศผลผิดไปนะ” วิกรม รีบทักท้วง
    
       “ไม่ผิดหรอก กล่องของระวีอัดแน่นไปด้วยก้อนหินสีขาว ส่วนของเจ้าไม่มีก้อนหินเลยสักก้อนเดียว” ผู้นำหมู่บ้านบอก
    
       “ว่าอย่างไรนะ! เป็นไปไม่ได้หรอก ข้าเป็นผู้มีความรู้มากนะทุกคนต้องเลือกข้าเป็นผู้นำสิ” วิกรม พูดอย่างเดือดดาล ด้วยความรู้สึกเสียหน้าและผิดหวังอย่างรุนแรง
    
       “ผิดแล้ววิกรม” ผู้นำหมู่บ้านกล่าวอย่างนุ่มนวล “ตาม วิสัยของผู้ที่จะมาเป็นผู้นำคนหมู่มากนั้น เขาจะต้องแสดงคุณค่าความเป็นมนุษย์ให้เป็นที่ประจักษ์ด้วย คุณค่าความเป็นมนุษย์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ การพูด คนที่มีคุณค่าต้องพูดแต่สิ่งดีๆ และมองผู้อื่นในแง่ดีอยู่เสมอ เพราะคำพูดนั้นสำคัญมาก เมื่อพูดออกไปแล้ว ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็เรียกคืนมาอีกไม่ได้ หากพูดไม่ดีคำพูดนั้นก็จะไปประทับอยู่ในจิตใจและสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้ อื่นไปนานแสนนาน ดังนั้น ผู้นำจะต้องเป็นคนที่พูดเป็น คิดถึงความรู้สึกของผู้อื่น อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่อวดดี และเต็มไปด้วยความรักความเมตตาในจิตใจ จึงจะทำให้ผู้ที่อยู่ใต้ปกครองเกิดความสุขได้อย่างแท้จริง”
    
       วิกรมได้ฟังหัวหน้าหมู่ บ้านกล่าวดังนั้น ก็เริ่มคิดได้ และเมื่อได้มองย้อนกลับไปถึงการกระทำต่างๆ ที่ผ่านมาของตนเอง เขาก็รู้สึกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ตนเองได้สร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้อื่นเสมอมา ผิดกับผู้นำหมู่บ้าน ระวีต่างหากที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ทุกประการ
    
       ดังนั้น วิกรม จึงหันไปแสดงความยินดีกับระวีด้วยใจจริง และมุ่งมั่นว่า จะกลับตัวกลับใจเป็นคนดีมีคุณค่า และช่วยเหลือระวีในการพัฒนาหมู่บ้านด้วยความจริงใจตลอดไป
    
       บทสรุปของผู้แต่ง
    
       การเป็นผู้มีความรู้มากนั้นมิใช่สิ่งที่ไม่ดีหรอก ตรงกันข้าม การเป็นผู้นำที่ดี ควรที่จะหมั่นศึกษาความรู้ต่างๆ มาประดับตนเองไว้เสมอ แต่อย่ารู้วิชาจนลืมไปว่าคุณค่าแห่งความดีนั้นเป็นอย่างไร เพราะนั่นไม่มีประโยชน์ และเสียเวลาขวนขวายหาความรู้ไปเปล่าๆ นอกจากนี้ ควรมีความรู้ควบคู่กับคุณธรรมและความดี ความรู้จึงจะบังเกิดผลสูงสุดทั้งแก่ผู้อื่นและตัวเธอเอง ซึ่งนั้นจะทำให้รู้ซึ้งถึงคุณค่าในตัวเองมากขึ้น และกลายเป็นที่ต้อนรับของผู้คนในทุกแห่งที่ย่างก้าวไปถึง

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

ที่สุด" ในชีวิตของ "ต๊อบ" วัยรุ่นพันล้าน

รวม "ที่สุด" ในชีวิตของ "ต๊อบ" วัยรุ่นพันล้าน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 เมษายน 2555 16:46 น.

ต๊อบ-อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ เจ้าของธุีรกิจส่าหร่ายทอดกรอบเถ้าแก่น้อย ณ เวลานี้ หากใครนึกอยากรับประทาน "สาหร่ายทะเลอบกรอบ" เชื่อว่าหลาย ๆ คนสามารถหลับตาแล้วเห็นภาพ "เถ้าแก่น้อย" ขึ้นมาได้อย่างชัดเจน เพราะนั่นคือยี่ห้อสาหร่ายที่มี "ต๊อบ-อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์" เด็กหนุ่มวัย 20 ต้น ๆ เป็นหัวเรือใหญ่ต่อสู้มาอย่างบากบั่น เริ่มต้นจากธุรกิจเกาลัด ก่อร่างสร้างตัวจนกลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจเถ้าแก่น้อยที่ทำยอดขาย 2,000 ล้านบาทในปี 2554 เรียกได้ว่า ติดตลาด และครองใจผู้บริโภคทุกกลุ่มเป้าหมายไปแล้ว

วันนี้ทีมงาน Life & Family ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ชายคนนี้ถึง 5 เรื่องราวความเป็นที่สุดในชีวิตที่ถึงแม้จะใช้เวลาพูดคุยกันเพียงไม่กี่นาที แต่ก็ทำให้เรารู้จัก และเห็นแง่มุมชีวิตของวัยรุ่นพันล้านรายนี้กันได้ดียิ่งขึ้น ส่วน 5 เรื่องความเป็น "ที่สุด" ของเขาจะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามอ่านพร้อม ๆ กันเลยครับ

1. ซ่าที่สุด

เห็นตี๋ ๆ และดูเรียบร้อยแบบนี้ ลึก ๆ แล้วแสบสันต์ไม่เบาเหมือนกัน ต๊อบเล่าว่า ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากป.6 ขึ้น ม.1 จากเด็กที่เคยใส่แว่น และค่อนข้างใส่ใจการเรียน พอมาเจอเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง ทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป เขาถอดแว่นออก และไม่สนใจเรียน เพราะรู้สึกว่า เด็กเรียนสาวไม่มอง แต่ถ้าเฮี้ยว ๆ สาวจะมอง และเมื่อมีกลุ่มเพื่อนมากขึ้น ความเฮี้ยวก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย จากที่ไม่เคยโดดเรียน ก็เริ่มโดดเรียน และไปโรงเรียนสายเป็นประจำ ทำให้ผลการเรียนตกลงเรื่อย ๆ และจบม.3 ออกมาด้วยเกรดเฉลี่ย 0.8

นอกจากนี้ เขามักจะให้ความสำคัญกับเพื่อน และผู้หญิงมาก ถ้ามีเงินเขาจะเต็มที่กับเพื่อน และสาว ๆ ของเขา จนคุณครูประจำชั้นเขียนบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรลงในสมุดพกเลยว่า "มนุษยสัมพันธ์ดี พูดเก่ง เถียงเก่ง ไม่ค่อยเรียน ติดผู้หญิง" นับเป็นความซ่าที่อยู่ในใจไม่รู้ลืม

ไม่เพียงเท่านั้น เขาเคยเกือบจะทำให้เพื่อนม. 5 กับรุ่นพี่ม. 6 ยกพวกตีกันด้วยเรื่องผู้หญิงมาแล้ว โดยเรื่องนี้ เขาเล่าย้อนกลับไปว่า ตอนอยู่ม.5 มีสาวคนหนึ่งมาชอบพอกับเขา แต่สาวที่เป็นถึงดาวโรงเรียนคนนั้นกลับมีแฟนอยู่แล้วนั่นก็คือรุ่นพี่ม. 6 จนเรื่องทราบถึงหูรุ่นพี่ และทำให้รุ่นพี่โมโหมาก กระทั่งวันหนึ่งเมื่อเห็นคู่อริ (ต๊อบ) เดินมา รุ่นพี่ไม่รอช้ารีบปรี่เข้าไปหา และกระโดดถีบทันที

เหตุการณ์ในตอนนั้น ทำให้เพื่อน ๆ ของเขาที่อยู่ในโรงอาหารลุกขึ้นมาสมทบ และเริ่มมีการขว้างปาจานชามกันขึ้น สุดท้ายก็ถูกครูเรียกสอบสวน แต่ที่หนักสุด ๆ คือคำพูดของแม่ที่บอกว่า "ลูกผู้ชายทำอะไรต้องมีจริยธรรม" เมื่อได้ฟังดังนั้นเขาถึงกับน้ำตาคลอเบ้า และสัญญากับตัวเองว่า จะไม่ก่อเรื่องแบบนี้ให้แม่เสียใจอีก

2. รักที่สุด

เมื่อถามถึงสิ่งที่รักมากที่สุดในชีวิตของต๊อบ "แม่" คือคำตอบของคำถามนี้ เพราะแม่คือผู้หญิงที่มีอิทธิพลกับชีวิตเขามาก ถึงแม้จะดื้อ และเกเรพอสมควร แต่เขาก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เพราะกลัวแม่เสียใจ และไม่เคยริลอง หรือคิดสูบบุหรี่ เพราะกลัวแม่จะได้กลิ่นบุหรี่ นอกจากนั้น แม่ยังเป็นแรงผลักดันให้เขาเริ่มหันมาทำธุรกิจด้วย เนื่องจากมีอยู่ช่วงหนึ่ง ครอบครัวถูกพิษวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 พ่นใส่ ส่งผลให้ที่บ้านเป็นหนี้ 40 ล้าน ซึ่งเขามักจะเห็นคุณแม่นั่งร้องไห้อยู่บ่อย ๆ และด้วยน้ำตาของคนที่รักมากที่สุดนี่เอง ทำให้เขาลุกขึ้นมาต่อสู้ และมุ่งมั่นหาช่องทางเพื่อสร้างรายได้ เพราะอยากให้แม่ และคนในครอบครัวกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนเดิม

"แม่เป็นผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด แม้ว่าท่านจะลำบาก หรือติดหนี้หลาย 10 ล้าน แต่แม่ก็ไม่เคยทิ้งผม หรือวันไหนถ้าผมรู้สึกท้อ และต้องการกำลังใจ แม่จะอยู่ข้าง ๆ ผมตลอด ยกตัวอย่างตอนที่ผมทำธุรกิจเกาลัด กว่า 30 สาขาแทบจะเจ๊งเพราะมีปัญหาเรื่องควัน ตอนนั้นผมขาดกำลังใจอย่างแรง แต่แม่เป็นคนเดียวที่อยู่กับผมตลอดเวลา และแม่จะสอนผมเสมอว่า เป็นคนต้องยอมเสียเปรียบบ้าง เพื่อรักษาบางอย่าง หรือให้ได้ส่วนอื่นที่มากกว่า" ต๊อบเผยความรู้สึกถึงแม่

3. เหนื่อยที่สุด

สำหรับช่วงเวลาที่เหนื่อยที่สุด ต๊อบบอกว่า เป็นช่วงที่เริ่มส่งสาหร่ายเถ้าแก่น้อยให้ร้านสะดวกซื้อกว่า 3,000 สาขา ตอนนั้นมีเวลา 3 เดือนที่จะต้องสร้างโรงงานให้เสร็จ แต่ที่หนัก และเหนื่อยกว่านั้นคือ การได้รับใบสั่งซื้อให้ทำสาหร่าย 400 ลัง และต้องส่งของภายในเวลา 7 วัน ซึ่งถือว่าหนักเอาการอยู่เหมือนกัน เพราะปกติผลิตเต็มที่ได้วันละ 40 ลัง 7 วันก็ 280 ลัง แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ ถึงจะถูกปรับไป 2,000 บาท เพราะส่งของล่าช้าไป 2 ชั่วโมง แต่ก็คุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับกลับมา

"ช่วงนั้นผมอดหลับอดนอนมาตลอด 7 วัน คืนสุดท้าย ผมเหนื่อย และง่วงมาก จึงเดินเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ เห็นตัวเองในกระจก ตกใจมากนึกว่า หลินฮุ่ย เพราะขอบตาดำปี๋เลย แต่พอออกมาเจอแม่ แม่เข้ามากอดผม ผมจำภาพวันนั้นได้ดี จำได้ว่า ทุกคนในครอบครัว เราช่วยกัน เราเหนื่อยด้วยกัน ผมเห็นพ่อนั่งแพ็คสาหร่าย เห็นแม่ใส่หมวก ใส่ที่ครอบผมนั่งทำงาน ดังนั้นผมบอกได้เลยว่า ถ้าไม่มีพวกเขาก็คงไม่มีผมในวันนี้" ต๊อบเผยถึงพลังแห่งความรักของครอบครัวที่ผลักดันให้เขามีวันนี้

4. เศร้าที่สุด

เมื่อเอ่ยถึงช่วงเวลาแห่งความเศร้า แน่นอนว่า หลายคนอาจมีความเศร้า และเรื่องที่ทำให้เสียน้ำตาแตกต่างกันไป เช่นเดียวกับต๊อบ ตลอดชีวิตของเขาล้วนมีเหตุการณ์ที่ทำให้เสียน้ำตาอยู่หลายเรื่อง แต่มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่เขาเสียใจ และรู้สึกเศร้าแบบสุด ๆ นั่นก็คือ การเห็นภาพคุณแม่อยู่ในสถานที่ที่ไม่ควรอยู่ (เขาขออนุญาตไม่เล่า เพราะมันเลวร้ายสำหรับเขามาก) ซึ่งภาพความลำบากของแม่ในวันนั้น ทำให้เขามีแรงฮึด และผลักดันตัวเองให้เดินหน้าต่อไป ถึงแม้จะเจอกับปัญหามากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่เขายึดถือ และท่องขึ้นใจมาตลอดคือ "อย่ายอมแพ้" และวันนี้เขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันคือหัวใจของความสำเร็จอย่างแท้ จริง

5. ภูมิใจที่สุด

ปิดท้ายกันด้วยความภูมิใจที่สุดในชีวิต ต๊อบบอกว่า ชีวิตนี้ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันนี้ วันที่มีคนชื่นชม และหลงใหลในสินค้าของเขา และด้วยสินค้าที่ติดตลาด และทำรายได้พุ่งพรวดนี้เอง ทำให้ในปี 2550 (3 ปีหลังจากตั้งบริษัทเถ้าแก่น้อยฯ) เขาสามารถใช้หนี้ 40 ล้านบาทของครอบครัวได้สำเร็จ ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจที่เขารู้สึกว่า มันมาไกลเกินกว่าที่ตัวเองตั้งใจไว้มาก แต่เกมธุรกิจยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะอนาคตเขาวาดหวังอยากทำให้ธุรกิจเถ้าแก่น้อยมียอดขายทะลุ 10,000 ล้าน และกลายเป็นสินค้าที่อยู่ในใจผู้บริโภคทั้งคนไทย และคนทั่วโลกให้ได้

ไม่แปลกที่เรื่องราวของเขาจะ เข้าตาผู้ใหญ่ค่ายจีทีเอช และถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ วัยรุ่นพันล้าน (Top secret) ที่สร้างความสำเร็จในเรื่องของคนดูได้มากขนาดนี้ และนี่คือ "ต๊อบ-อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์" เถ้าแก่น้อยพันล้าน ผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนหนุ่มสาวมากมาย

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ลิงโกง

เรื่องของลิงโกง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 พฤศจิกายน 2554 12:31 น.

คุณคิดว่าพฤติกรรมการโกงนั้นจะส่งผลต่อวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตอย่างไรบ้าง? บทความน่าสนใจจาก “นณณ์ ผานิตวงศ์” ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ www.siamensis.org อธิบายเรื่องนี้ด้วยหลักชีววิทยา และยินดีให้ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์นำมาเผยแพร่ต่อ

***************
เคยเห็นลิงหาเห็บหาเหาให้กันไหมครับ? ตัวนี้หาให้อีกตัว แล้วก็มีอีกตัวหาให้อีกตัว เสร็จแล้วมันก็ผลัดกันวนๆ หาให้กัน ถ้าทำอย่างนี้ทุกตัวในฝูงก็จะไม่มีเห็บมีเหาเหมือนกันเพราะต่างตัวต่างช่วยกันผลัดกันหา ทีนี้ลองนึกภาพว่ามีลิงหัวหมอตัวหนึ่ง เกิดเอาเปรียบเพื่อน นั่งให้เพื่อนหาเสร็จแล้วแทนที่จะหาให้เพื่อนบ้าง ก็หนีไปหาอะไรกินเสียอย่างนั้น ลิงที่ “โกง” ตัวนี้ได้เปรียบเพื่อนฝูงชัดเจนมาก เพราะกินแรงเพื่อนอย่างเดียว ถ้าไม่มีลิงตัวไหนจับได้ปล่อยให้เป็นแบบนี้ ลิงตัวนี้มีแนวโน้มสูงมากที่จะประสบความสำเร็จกว่าเพื่อนๆ ตามสังคมลิงคงไม่ใช่ได้ตำแหน่งหรือเงินทอง แต่อาจจะมีลูกที่แข็งแรงและโตเร็วกว่าตัวอื่นๆ เพราะแม่มีเวลาหาอาหารมากกว่าเพื่อน เพราะโกงแรงงานเพื่อน

ทีนี้สมมติว่าแม่ลิงขี้โกงมีลูกสามตัวก็สอนให้ลูกลิงขี้โกงด้วย คือไปนั่งให้เพื่อนหาเห็บเสร็จแล้วไม่หาคืนให้เพื่อน พากันไปหากินเที่ยวเล่นหาผัวหาเมียไปเรื่อย ปรากฏว่าครอบครัวนี้ประสบความสำเร็จสืบต่อกันหลายชั่วลิง เพิ่มจำนวนประชากรลิงโกงขึ้นเรื่อยๆ ถามว่าความซวยจะตกแก่ใคร? ถ้าหากมีประชากรลิงขี้โกงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ลิงนิสัยดีที่โดนเอาเปรียบจะมีเห็บเหาเต็มตัวและมีเวลาหากินน้อยกว่าประชากรลิงโกง ลิงนิสัยดีในฝูงก็จะมีจำนวนน้อยลงไปเรื่อยๆ และเมื่อถึงจุดหนึ่ง ลิงดีก็จะมีจำนวนน้อยเกินไปที่จะมาคอยนั่งหาเห็บหาเหาให้ลิงโกงเปล่าๆ ปรี้ๆ ผลก็คือลิงโกงก็จะมีเห็บเหา และไม่มีใครให้เอาเปรียบอีก เมื่อถึงจุดนั้น ประชากรลิงฝูงนี้ก็จะมีปัญหาเห็บหมัดและเหารุนแรงจนอาจจะล่มสลายไปก็เป็นได้

นี่คือสิ่งที่ถูกเรียกว่า “กลยุทธทางวิวัฒนาการที่ไม่เสถียร” (Evolutionary Unstable Strategy) คือการโกงจะทำให้ผู้ที่ถูกเอาเปรียบอ่อนด้อยลงเรื่อยๆ และเมื่อถึงจุดๆ หนึ่งก็จะไม่เหลือใครให้โกงและเอาเปรียบ ในที่สุดแล้วทุกคนจะเป็นผู้แพ้ในกลยุทธเช่นนี้

แต่ในทางกลับกันถ้าลิงทั้งฝูงทุกตัวร่วมมือร่วมใจกัน ช่วยเหลือกันไม่โกงกัน เอ็งหาเห็บให้ข้า ข้าหาเหาให้เอ็ง ลิงทั้งฝูงก็จะอยู่ร่วมกันได้อย่างปรกติสุขตราบนานเท่านาน แบบนี้เรียกว่าเป็น Evolutionary Stable Strategy (ESS) หรือ "กลยุทธทางวิวัฒนาการที่เสถียร" กล่าวคือถ้าหากมีการใช้กลยุทธเช่นนี้ในสังคมแล้วจะทำให้สังคมนั้นๆ ดำรงค์ต่อไปได้อย่างยั่งยืน ในกรณีนี้คือการร่วมมือกันต่างตอบแทนกันไม่โกงกันของสัตว์สังคมอย่างลิงอย่างคน จะทำให้สังคมก้าวไปข้างหน้าได้

จะเห็นว่าการโกง แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ถ้าหากมีการยอมรับและปล่อยให้สะสมไปเรื่อยๆ ก็จะก่อให้เกิดเรื่องใหญ่ได้ ที่เขียนเรื่องนี้เพราะมีเพื่อนส่งคำถามนี้มาถาม

"ถ้ามีรัฐบาลอยู่ 2 ประเภท โดยทั้งสองประเภทมีงบประมาณเท่ากันคือ 100 บาท ประเภทที่ 1 โกงไป 80 บาท แต่ทำงานเป็น ใช้เงิน 20 บาทบริหารประเทศ ทำให้ประชาชนได้รับความสุขความเจริญ สร้างความมั่นคงให้ชาติได้เป็น 100 บาทเท่าเดิม ส่วนประเภทที่ 2 เป็นคนดี สะอาด แต่ทำงานไม่เป็น ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ใช้เงิน 100 บาท แต่สร้างประโยชน์ให้ประชาชน...ได้แค่ 5 บาท เป็นคุณจะเลือกแบบไหน?”

เลือกยากไหม? แต่ถ้าเอาตาม ESS ยังไงก็ต้องเลือกประเภทที่ 2 เพราะการที่มีคนดีมาเป็นผู้บริหาร ถึงแม้ว่าคนนี้อาจจะด้อยความสามารถ แต่ในทางวิวัฒนาการแล้ว ในที่สุดสังคมนั้นๆก็จะต้องหาคนที่ดีและเก่งมาปกครองบ้านเมืองได้ และจะไม่ล่มสลายไปเสียก่อนเนื่องจากมีตัวอย่างผู้นำที่เป็นคนดี สังคมโดยรวมก็จะเป็นคนดี ไม่เห็นการโกงเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในสังคม ต่างกับถ้าหากเลือกประเภทที่หนึ่ง คือปล่อยให้มีการโกงเกิดขึ้นในสังคม โดยอ้างว่าโกงไปแล้วทำงานเป็น เอาไปคนเดียว 80 ให้คืนมา 20 แต่ก็ทำคืนอีก 4 เท่าขึ้นมาเป็น 100 ได้ ในระยะสั้น ทางเลือกนี้อาจจะดีกว่าทางเลือกที่สอง แต่ถ้าหากมองให้ไกลไปกว่านั้น คนที่โกง มีหรือที่จะโกงอยู่เท่านั้น? สังคมที่ส่งเสริมคนโกง มีหรือที่จะไปได้ไกล?

ลองนึกในทางกลับกัน สังคมที่ส่งเสริมให้คนที่คิดดีได้ปกครองบ้านเมืองถึงแม้จะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำไป แต่น้ำพริกนั้นก็ยังตกแก่ส่วนรวมทั้งหมด ถามว่าสังคมที่มีแต่คนดีในที่สุดแล้วจะเป็นไปไม่ได้เชียวหรือที่จะหาคนเก่งมาปกครองบ้านเมืองและลองนึกดูเมื่อถึงวันนั้นคนที่ทำงานเก่งก็จะสามารถทำเงิน 100 มาเป็น 400 ได้ เชียวนะ

Homo sapiens ไม่ได้มีวิวัฒนาการเจริญก้าวหน้ามาได้จนถึงทุกวันนี้ จากการสนับสนุนและยอมรับคนโกงในสังคม ผมเชื่อเช่นนั้น หรือถ้าใครอยากลงลึกละเอียดขึ้นแนะนำหนังสือเรื่อง Selfish Gene ของ Richard Dawkins อ่านแล้วการมองโลกของคุณจะเปลี่ยนไป