วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หลวงพ่อทองคำ

ถอดรหัสธรรม "หลวงพ่อทองคำ" วัดไตรมิตร พระพุทธรูปทองคำใหญ่ที่สุดในโลก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 สิงหาคม 2553 17:44 น.

หลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตรกับพุทธสรีระอันงดงาม
ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปกี่ยุคสมัย ศาสนาพุทธกับสังคมไทยนั้นเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันมาโดยตลอด ไม่เพียงแค่หลักธรรมที่ช่วยให้ปุถุชนทั่วไปได้เรียนรู้หลักการดำเนินชีวิต แล้ว พุทธศาสนายังได้สอดแทรกความงามของศิลปะในแขนงต่างๆ เอาไว้เป็นเครื่องจรรโลงจิตใจได้อีกรูปแบบหนึ่ง หรือที่เรียกกันว่าความงามทางพุทธศิลป์ อาทิ พระพุทธรูปของไทยเรานั้นถือว่าเป็นความสวยงามทางพุทธศิลป์ที่อยู่คู่กับเรา มาตั้งแต่จำความได้ เพราะพระพุทธรูปนั้นคือตัวแทนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เรากราบไหว้ กันอยู่เป็นประจำ

ข้อเท็จจริงจำนวนหนึ่งจาก อาจารย์ สุรศักดิ์ เจริญวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญในด้านศิลปะไทย นั้นกล่าวว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากมายที่เดินทางมาประเทศไทยเพื่อมาดู "โลหะรูปมนุษย์"

โลหะรูปมนุษย์ ในความหมายของพวกเขา(ชาวต่างชาติ)คือพระพุทธรูปนั่นเอง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่านอกจากแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและสถาปัตยกรรมแบบไทยๆ ที่ได้รับความสนใจและ พุทธศิลป์ในบ้านเรานั้นกลับเป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะฝรั่งเขาบอกกันว่าเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของเมืองไทยที่ไม่เหมือนใคร

พระพุทธรูปในเมืองไทยนั้นมีการสร้างมาช้านาน หลายยุคหลายสมัย และมีอยู่มากมาย แทบทุกอณูประเทศ สำหรับ"พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร" หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "หลวงพ่อทองคำ" ที่วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร นั้นเป็นหนึ่งในพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์สวยงามที่ได้รับการกล่าวขานถึงไม่น้อยเลย

หลวงพ่อทองคำ พระพุทธรูปทองคำใหญ่ที่สุดในโลก
นอกจากนี้ในหนังสือท่องเที่ยวของชาวต่างชาติจำนวนมากยังได้บรรจุหลวง พ่อทองไว้เป็นหนึ่งในสิ่งที่ต้องมาชมให้ได้เมื่อมากรุงเทพฯหรือแบงคอก หลังจากที่ The Guinness Book of World Record ได้จดบันทึกไว้ว่าเป็นเป็นพระพุทธรูปทองคำขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีน้ำหนักกว่า 5 ตัน และมีมูลค่ากว่า 1,800 ล้านบาท

อย่างไรก็ดีเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องปกติของชาวไทยที่พบเห็นพระพุทธ รูปสวยงามอยู่เป็นประจำ แต่สำหรับหลวงพ่อทองคำนั้นมีสิ่งที่น่าค้นหามากกว่าแค่ความงามภายนอก จนทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านพระพุทธรูปกลุ่มหนึ่งมาตั้งวง เสวนาวิชาการ "หลวงพ่อทองคำ...ถอดรหัสพุทธศิลป์สู่พุทธธรรมขึ้น" เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ของหลวงพ่อทองคำที่ถูกบันทึกไว้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้นน่าสนใจ ทั้งเรื่องแรงศรัทธา ความชาญฉลาดทางสถาปัตยกรรม และเรื่องของปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นต่างๆ ก่อนจะมาเป็นหลวงพ่อทองคำอย่างในทุกวันนี้

สังคมเจริญ ศิลปกรรมรุ่งเรือง

ถ้าจะกล่าวถึงที่มาของหลวงพ่อทองคำนี้ อาจต้องท้าวความกลับไปยังช่วงสมัยสุโขทัย ซึ่งอาจารย์ สุรศักดิ์ ได้กล่าวถึงที่มาของหลวงพ่อทองคำไว้ได้อย่างน่าสนใจว่า

หลวงพ่อทองคำ มีความเป็นไปได้อย่างมากที่น่าจะสร้างขึ้นในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง ถ้าเปรียบเทียบกับลักษณะของพระพุทธรูปในสมัยนั้น ในสมัยก่อนการจะสร้างพระพุทธรูปทองคำล้วนนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะว่าหลวงพ่อทองคำนั้นสร้างด้วยทองคำบริสุทธิ์ที่เรียกกันว่า "ทองเนื้อเจ็ด น้ำสองขา" ตามมาตราทองคำของไทยโบราณ

พระพักตร รูปไข่กลมรี ให้ความรู้สึกสงบ
ทองเนื้อเจ็ด น้ำสองขา เป็นทองคำที่มีค่าของเนื้อทองรองจากทองนพคุณหรือทองเนื้อเก้า ซึ่งมีมูลค่าและราคามากมายมหาศาลแม้เทียบกับในปัจจุบัน นั่นแสดงถึงความเจริญในด้านสังคมของสุโขทัยและว่ากันว่าเป็นยุคที่รุ่งเรือง ที่สุดในด้านศิลปกรรม โดยอ้างอิงจากหลักศิลาจารึกหลักที่ 1 ที่ได้จารึกเรื่องราวบางส่วนไว้ว่า "กลางเมืองสุโขทัยนี้มีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฏฐารส มีพระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอันงาม" และมีความเป็นไปได้อย่างมากที่พระพุทธรูปทองที่กล่าวถึงอาจหมายถึงหลวงพ่อทองคำองค์นี้ก็เป็นได้

นอกจากนี้อาจารย์สุรศักดิ์ ยังสะท้อนให้เห็นความสำคัญของพุทธลักษณะของหลวงพ่อทองคำรวมถึงพระพุทธรูป อื่นๆ ที่ถูกสร้างขึ้นในยุคเดียวกันว่า การสร้างพระพุทธรูปยุคสุโขทัยนั้นจะสร้างตามลักษณะของมนุษย์ทุกประการ แต่จะไม่เหมือนกับรูปปั้นที่โชว์กายภาพของร่างกายตามต่างประเทศ เพราะมนุษย์ที่ยังคงลักษณะทางกายภาพไว้ครบถ้วนนั้นแสดงให้เห็นว่ายังคงความ เป็นโลกียะ คือยังไม่หลุดพ้นจากกิเลส แต่พระพุทธรูปที่สร้างขึ้นนั้นมีความสวยงาม ราบเรียบ แต่ไม่คงไว้ซึ่งลักษณะทางกายภาพเช่นกล้ามเนื้อ เพราะเป็นตัวแทนของมหาบุรุษซึ่งหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงหรือ โลกุตระ

หลวงพ่อทองคำในขณะที่เป็นพระปูน
ความคิดเห็นนี้สอดคล้องกับบันทึกของ นายอเล็กซานเดอร์บราวน์ คริลโวล์ด นักโบราณคดีชาวอเมริกัน ที่ได้เขียนบทความเกี่ยวกับพระพุทธรูปสุโขทัย เมื่อปี พ.ศ. 2496 โดยได้แสดงความคิดเห็นว่าลักษณะที่ผิดเพี้ยนไปจากกายภาพของมนุษย์ทั่วไปใน พระพุทธรูปสุโขทัยเป็นผลมาจากความพยายามที่จะถ่ายทอดความเป็นมหาบุรุษ 32 ประการลงไปในพระพุทธรูป ซึ่งทุกอย่างนั้นล้วยมาจากแรงศรัทธาเลื่อมใสในสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้หลุดพ้นซึ่งกิเลสทั้งปวงแล้วนั่นเอง

จากพระทองคำ สู่พระปูนปั้น

กล่าวกันว่าในยุคสมัยหนึ่งได้มีการพอกปูนทับ หลวงพ่อทองคำ และทำการลงลักปิดทองซ้ำอีกชั้นจนดูเหมือนพระพุทธรูปธรรมดาทั่วไป สาเหตุในครั้งนี้สันนิษฐานไว้ 2 สาเหตุหลักๆ ก็คือ ชาวกรุงสุโขทัยเองนั้นอาจเป็นผู้ที่พอกปูนอำพรางค์ทองคำไว้ เพราะช่วงหลังจากที่กรุงสุโขทัยเสื่อมอำนาจลง ได้มีสงครามบ่อยครั้งขึ้น และถูกกองทัพกรุงศรีอยุธยารุกรานเมื่อราวปี พุทธศตวรรษที่ 20

ถ้าเป็นจริงตามข้อสันนิษฐานนี้ หลวงพ่อทองคำในรูปของพระปูนปั้นได้ประดิษฐานอยู่ที่กรุงรัตนโกสินทร์มาอย่างยาวนาน

ภาพจำลองการเคลื่อนย้ายหลวงพ่อทองคำ
ส่วนอีกข้อสันนิษฐานหนึ่งคือทางฝ่ายกรุงศรีอยุธยานั้นได้อัญเชิญหลวง พ่อทองคำมาประดิษฐานที่กรุงศรีอยุธยาในคราวที่สามารถรวมอำนาจกรุงสุโขทัยไว้ ได้ แต่มีเหตุให้ต้องพอกปูนทับเพื่ออำพรางจากการที่พม่ายกทัพมาโจมตีเมืองก่อน ที่จะเสียกรุง

สำหรับข้อสันนิษฐานทั้งสองสามารถเชื่อมโยงกันได้ถึงปัญหาทางสังคมที่ เกิดขึ้นในยุคนั้นจนถึงขนาดที่ไม่กล้าเปิดเผยความสวยงามที่มีค่ามหาศาลนี้ แต่อีกด้านหนึ่งนั้นช่างผู้พอกปูนทับลงไปนั้นได้แสดงถึงความชาญฉลาดในการ เก็บรักษาทองคำ โดยได้ลงรักไปบนผิวองค์พระทองคำก่อนที่จะพอกปูนทับ

ทั้งนี้สันนิษฐานว่าเพื่อให้ปูนยึดเกาะได้ดีขึ้นและสามารถรักษาเนื้อ ทองคำใม่ให้ถูกกัดกร่อนจากความเค็มของปูนได้เป็นอย่างดี เพราะปูนในสมัยก่อนนั้นทำมาจากหินปูนหรือเปลือกหอยจากทะเลนำมาเผา ซึ่งจะมีความเค็มมากกว่าปูนในปัจจุบัน ถ้าใครเคยมาสักการะหลวงพ่อทองคำแล้วก็จะเห็นได้ถึงความแวววาวของเนื้อทองคำ บริสุทธิ์ที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้

พระเศียร แบบดอกบัวตูม สมส่วนกับพระคอ
เมื่อปูนกระเทาะ

ต่อมาในช่วงสมัยรัตนโกสินทร์นั้นได้มีการเคลื่อนย้ายหลวงพ่อทองคำมา ประดิษฐานที่วัดพระยาไกร ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และสุดท้ายย้ายมาประดิษฐานที่วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ซึ่งการเคลื่อนย้ายหลวงพ่อทองคำนั้นได้รับความสนใจจากประชาชนในระแวกนั้น เป็นอย่างมาก

ครั้นเมื่อจะยกไปประดิษฐานยังชั้นบนของวิหารก็ต้องใช้ทั้งแรงคนและ เครื่องมือมากมายแต่ไม่สำเร็จเพราะมีน้ำหนักที่มากเกินกว่าที่คาดคะเนไว้ และช่วงที่กำลังยกองค์พระขึ้นไปสักพักเชือกกลับขาจนองค์พระตกลงมากระแทกพื้น เกิดเป็นรอยร้าว จึงยุติการดำเนินการลง

แต่ในคืนเดียวกันนั้นเองเจ้าอาวาสวัดในขณะนั้นได้ฝันเห็นหญิงสูง ศักดิ์คนหนึ่งนำสังวาลมามอบให้ แล้วกำชับให้ท่านเก็บรักษาไว้ ต่อไปจะมีเป็นสิ่งที่มีค่ามาก เช้ารุ่งขึ้นทางวัดจึงสำรวจดูรอยร้าวและพบว่ามีการลงรักปิดไว้ จึงตัดสินใจแกะรักนั้นออกและพบเป็นเนื้อทองคำอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน

พระวรกาย อ่อนช้อยแม้กระทั่งด้านหลังขององค์พระ
ความศรัทธา และคุณค่าทางพุทธศิลป์

เรื่องราวของหลวงพ่อทองคำนั้นไม่เพียงแสดงให้เห็นคุณค่าทางด้าน ศิลปกรรม แต่ยังสะท้อนเรื่องราวของสังคมในแต่ละยุคสมัยได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันน่าแปลกที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจกับหลวงพ่อทองคำมากกว่าคนไทย อาจจะเป็นเพราะการจัดการของวัดหรืออย่างไรก็ตาม แต่ก็เชื่อว่าหลวงพ่อทองคำนั้นย่อมเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของชาวไทยที่ เกิดจากแรงศรัทธาใน

พระพุทธศาสนาที่ถ่ายทอดผ่านช่างฝีมือในอดีตออกมาเป็นศิลปกรรมที่มี คุณค่าในด้านพุทธศิลป์ ที่นักท่องเที่ยวหลายคนต้องเดินทางมาเพื่อให้เห็นกับตา และข้อสรุปของการเสวนา เรื่อง "หลวงพ่อทองคำ ถอดรหัสพุทธศิลป์สู่พุทธธรรม" ที่ผ่านมา ได้ความเห็นที่ตรงกันว่า

อะไรก็ตามที่ทำให้หลวงพ่อทองคำนั้นงดงามนั้นย่อมไม่ใช่เพราะทองคำ หรือมูลค่า แต่ยังเป็นปริศนาธรรมที่ให้เราเก็บไปคิดว่าความงดงามที่เกิดขึ้นและยังอยู่ คู่กับเราจนปัจจุบันนั้นเกิดจากคำว่า ศรัทธา ใช่หรือไม่

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ ถนนเจริญกรุง แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯเขตสัมพันธวงศ์ กทม. มีหลวงพ่อทองคำประดิษฐานอยู่ ภายในพระมหามณฑป ที่ชั้น 4 เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 08.00 -17.00 น. ส่วนชั้น 2 เป็น ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช ชั้น 3 เป็นนิทรรศการพระพุทธมหาสุวรรณ ทั้งชั้น 2 และ 3 เปิดทุกให้บริการวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 8.00-17.00 น. ทั้งนี้ผู้สนใจรายละเอียดสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0-2623-3329-30

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สืบจากศพ

สืบจากศพ! ฝึกแกะรอยผู้ร้ายในมหกรรมวิทย์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 สิงหาคม 2553 10:12 น
สถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม ปริศนา ถูกจำลองมาไว้ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2553 เพื่อให้ "นักนิติวิทย์น้อย" แกะรอยหาคนร้ายตัวจริง
นายดำ, นายแดง และนายเขียว "ใคร" คือฆาตรกรตัวจริง ที่สังหารนายขาวอย่างโหดเหี้ยม “งานมหกรรมวิทย์” ปีนี้ เปิดพื้นที่ให้เยาวชนคนกล้ามาสวมบท “นักนิติวิทยาศาสตร์น้อย” แกะรอยตามหาผู้ร้าย ในคดีฆาตกรรมสยองขวัญ

เมื่อผู้ร้ายก่อคดีฆาตกรรมสังหารเหยื่อในที่ลับตาคนแล้วหลบหนีไป ตำรวจจะตามจับฆาตกรมาลงโทษได้อย่างไร งานนี้นักนิติวิทยาศาสตร์ช่วยได้ พร้อมชวนเยาวชนไปรู้จักศาสตร์เพื่อความยุติธรรม และทดลองสวมบทนักนิติวิทยาศาสตร์เก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุ กลางงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติประจำปี 2553 ที่ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

น้องๆ นักนิติวิทยาศาสตร์น้อย จะได้ทดลองเก็บหลักฐานจากวัตถุพยานในสถานที่เกิดเหตุ ณ ห้องนั่งเล่นภายในบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีนายขาวนอนเสียชีวิตอยู่ที่พื้นห้อง พร้อมด้วยร่องรอยคราบเลือด ลายนิ้วมือ รอยเท้า เขม่าดินปืน ฯลฯ (ฉากสมมติ) จากนั้นนำข้อมูลวัตถุพยานที่เก็บได้ไปตรวจพิสูจน์ และใช้ประกอบกับคำให้การของผู้ต้องสงสัย (นายดำ, นายแดง และนายเขียว) เพื่อระบุตัวผู้กระทำความผิดตัวจริง พร้อมทั้งเรียนรู้เทคนิคการทำงานของนักนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อประโยชน์ในกระบวนการยุติธรรม

“คราบเลือด" บอกอะไรได้บ้าง

เมื่อเวลาผ่านไป "คราบเลือด" จะแห้งและมักมีสีน้ำตาลแดง ผิวมัน และอาจเลือนหายไปได้เมื่อถูกแสงแดด ความร้อน หรือถูกชะล้าง ซึ่งคราบเลือดที่แห้งมากๆ ก็อาจมีสีเปลี่ยนเป็นเขียวหรือฟ้าก็ได้ ขึ้นอยู่กับวัตถุที่คราบเลือดนั้นติดอยู่ เช่น คราบเลือดที่ติดอยู่บนวัตถุที่เป็นโลหะจะเปลี่ยนสีเร็วกว่าคราบเลือดที่ติด อยู่บนผ้า และคราบเลือดที่ติดอยู่บนกระดาษอาจเปลี่ยนเป็นสีแปลกๆ ได้ เนื่องจากคราบเลือดดูดสีจากกระดาษ

วิธีการตรวจพิสูจน์คราบเลือด ก่อนอื่นต้องตรวจว่าเป็นคราบเลือดหรือไม่ โดยใช้ไม้พันสำลีนำไปเช็ดหรือถูกับคราบต้องสงสัย แล้วหยดน้ำยาจากชุดทดสอบ (ชุดน้ำยาฟีนอฟทาลีน : Phenolphthalein) ทีละชนิดต่อเนื่องกัน หากคราบต้องสงสัยเปลี่ยนเป็นสีชมพูทันที แสดงว่าเป็นคราบเลือด จากนั้นนำไปพิสูจน์ว่าเป็นคราบเลือดของคนหรือสัตว์ ด้วยชุดน้ำยาเอชอาร์ (HR) หากเป็นเลือดคน ก็จะนำไปตรวจหาสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ (DNA) ว่าเป็นเลือดของใครต่อไป

ทั้งนี้ รอยเลือดที่พบในที่เกิดเหตุสามารถบอกได้ถึงวิธีการกระทำผิดของคนร้าย เส้นทางหลบหนีของคนร้าย ช่วยในการพิสูจน์ยืนยันตัวบุคคลผู้กระทำผิด รวมทั้งระยะเวลาการเสียชีวิตของผู้ตาย

ระบุตัวคนร้ายด้วยเอกลักษณ์จาก "ลายนิ้วมือ"

ลายนิ้วมือเป็นวัตถุพยานประเภทหนึ่ง และการพิสูจน์ลายนิ้วมือก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ที่สามารถช่วยระบุตัวคนร้ายได้ เพราะมนุษย์แต่ละคนมีลายพิมพ์นิ้วมือที่ไม่ซ้ำกันเลย แม้ว่าจะมีสายเลือดเดียวกัน เหมือนกับลายพิมพ์ดีเอ็นเอของแต่ละคนที่แตกต่างกัน ซึ่งรูปแบบลายนิ้วมือโดยทั่วไปแบ่งได้เป็น 3 แบบใหญ่ๆ ได้แก่ มัดหวาย โค้ง และก้นหอย

เราสามารถค้นหารอยนิ้วมือแฝงในสถานที่เกิดเหตุได้ เช่น บนแก้วน้ำ ลูกบิดประตู โดยใช้ไฟฉาย ทำรอยนิ้วมือแฝงให้ปรากฏชัดขึ้นด้วยผงฝุ่น (Black print powder) หรือรมควัน หรือสารเคมี และบันทึกรอยลายนิ้วมือแฝงเหล่านั้น เช่น ถ่ายภาพ หรือลอกรอย เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับลายนิ้วมือของผู้ต้องสงสัย

ตรวจเนื้อเยื่อ-ไข่แมลงวัน หาเวลาเสียชีวิต

"เวลาที่เสียชีวิต" คือสิ่งแรกๆ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการทราบ เนื่องจากมีความสำคัญมากต่อการระบุตัวผู้กระทำความผิด ซึ่งในเบื้องต้นอาจสังเกตได้จากนาฬิกาที่ตกหล่นอยู่ในที่เกิดเหตุ โดยสันนิษฐานว่าเป็นเวลาโดยประมาณ และต้องมีการตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้งด้วยวิธีการต่างๆ อาทิ

- การตรวจอุณหภูมิของศพ โดยเมื่อเสียชีวิตใหม่ๆ ตัวศพจะยังอุ่นอยู่ เมื่อเสียชีวิตไปแล้ว 3 ชั่วโมง ร่างกายจะเริ่มเย็นลงโดยเฉลี่ย 1 องศาเซลเซียสต่อ 1 ชั่วโมง

- การตรวจดูการตกของเลือด (Livor Mortis) ภายหลังการตายประมาณ 3-4 ชั่วโมง จะเกิดสภาวะที่ผิวหนังร่างกายเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดง เนื่องจากมีเลือดไหลเทลงไปยังส่วนต่ำของร่างกายตามแรงโน้มถ่วงของโลก เช่น สภาพศพนอนคว่ำหน้า ด้านซีกหน้าที่คว่ำบนพื้นจะมีสีเข้มขึ้นกว่าด้านบน

- การตรวจดูการแข็งตัวของกล้ามเนื้อ (Rigor Mortis) เกิดจากการตกตะกอนของโปรตีนในกล้ามเนื้อ โดยจะเกิดขึ้นเร็วที่สุดหลังการเสียชีวิตประมาณครึ่งชั่วโมง แต่กว่าจะสังเกตเห็นได้ต้องใช้เวลา 4-8 ชั่วโมงไปแล้ว และจะเกิดการแข็งตัวเต็มที่ในระยะเวลา 12 ชั่วโมง และศพจะเริ่มอ่อนตัวลง การแข็งตัวจะเริ่มจากกล้ามเนื้อเล็กๆ บริเวณใบหน้า ขากรรไกร ลงมาที่คอ ข้อมือ แขน หลัง และขา ตามลำดับ และหลังจากเสียชีวิต 24 ชั่วโมง ศพจะเริ่มอ่อนตัวและเน่าเปื่อย

- การประเมินระยะเวลาการตายจากอาหารในกระเพาะอาหาร เพื่อหาระยะเวลาการตายโดยประมาณจากการวิเคราะห์ลักษณะอาหารในกระเพาะอาหาร ซึ่งปกติอาหารที่ย่อยแล้วจะถูกส่งไปที่ลำไส้เล็กตอนต้น ส่วนต้นของอาหารที่รับประทานจะใช้เวลาเดินทางถึงลำไส้ใหญ่ส่วนต้นประมาณ 6-8 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหาร ส่วนอาหารที่ย่อยยากก็จะทำให้อาหารอยู่ในกระเพาะอาหารนานขึ้น

- ตรวจสอบหนอนแมลงวัน เมื่อศพเริ่มเน่า แมลงวันจะมาวางไข่ หลังจากวางไข่แล้วประมาณ 24 ชั่วโมง ไข่จะกลายเป็นตัวหนอน หลังจากนั้น 7 วัน หนอนจะเจริญเติบโตมาเป็นดักแด้ และอีก 7 วัน ดักแด้จะเติบโตเป็นแมลงวัน ซึ่งช่วยระบุระยะเวลาการเสียชีวิตของผู้ตายได้

สาเหตุการตาย บอกได้ด้วยร่องรอยจากบาดแผล

การตรวจหาร่องรอยบาดแผลบนร่างกายของผู้ตาย ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถประเมินสาเหตุการเสียชีวิตได้ว่าเกิดจากอะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร มีความรุนแรงขนาดไหน เป็นต้น ซึ่งสามารถบอกได้ 4 สาเหตุ คือ ถูกของแข็งไม่มีคม ถูกของแข็งมีคม ถูกความร้อน และถูกอาวุธปืน

ในกรณีการเสียชีวิตด้วยอาวุธปืน จะเกิดเขม่าปืนซึ่งอาจจะไปติดที่บริเวณมือของผู้ที่ลั่นไกด้วย และสามารถตรวจสอบเขม่าปืนที่มือของผู้ต้องสงสัยได้โดยตรวจพิสูจน์หาชนิดและ ปริมาณของธาตุตะกั่ว แบเรียม และพลวง ที่ใช้เป็นส่วนประกอบในดินปืน ซึ่งช่วยให้ทราบได้ว่าเป็นกระสุนปืนชนิดใด และเขม่าดินปืนบางส่วน อาจติดอยู่ที่ร่างกายของผู้ถูกยิงได้ด้วย ซึ่งขนาดและการกระจายของเขม่าดินปืนบนร่างกายของผู้ถูกยิงจะขึ้นอยู่กับระยะ ห่างจากปากลำกล้องปืน

การเก็บเขม่าดินปืนจากมือผู้ต้องสงสัยหรือจากบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ จะต้องเก็บในในเวลา 6 ชั่วโมงหลังจากยิงปืน ถ้าเก็บจากผู้เสียชีวิตแล้วจะต้องเก็บภายในเวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมง โดยสามารถเก็บได้ 2 วิธี คือ ใช้เครื่องอะตอมมิกแอบซอฟชั่น และเครื่องสแกนนิ่งอิเล็กตรอนไมโครสโคป

จากนั้นตรวจพิสูจน์เขม่าดินปืนด้วยชุดน้ำยาจีเอสพีอาร์ (Gun Shot Powder Residue Test Kit) สามารถนำไปใช้ตรวจพิสูจน์เบื้องต้นในสถานที่เกิดเหตุหรือในสถานที่ที่ควบคุม ตัวผู้ต้องสงสัยได้ โดยน้ำยาดังกล่าวจะตรวจหาสารกลุ่มไนไตรที่มาจากการยิงปืน และสังเกตการเปลี่ยนแปลง หากปรากฏจุสีชมพู แสดงว่าพบเขม่าดินปืน

นอกจากนั้น รอยกระสุนปืนยังบอกได้ถึงชนิดและขนาดของกระสุน ถูกยิงมาจากปืนชนิดใด ขนาดใด จากปืนอย่างน้อยกี่กระบอก รูรอยไหนเป็นรูรอยถูกยิงเข้าหรือเป็นรอยทะลุออก รวมถึงลักษณะและทิศทางการยิง ส่วนปลอกกระสุนปืนหรือหัวกระสุนปืนที่พบในที่เกิดเหตุก็สามารถบอกได้ด้วย เช่นกันว่าถูกยิงมาจากปืนกระบอกใด

จากหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ประกอบกับคำให้การของผู้ต้องสงสัย ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเข้าใกล้ผู้ร้ายตัวจริงได้มากเข้าไปทุกที ถ้าน้องๆ คนใดอยากสัมผัสการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ในด้านกระบวนการทางยุติธรรมหรือไข ปริศนาคดีฆาตกรรม สามารถมาทดลองเป็นนักนิติวิทยาศาสตร์ได้ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งชาติ ประจำปี 2553 ตั้งแต่วันที่ 7-22 ส.ค.53 เวลา 09.00-20.00 น. หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.nsm.or.th